หรือท่านอื่นๆว่ายังไหงครับสำหรับให้บทความนี้ก็คงไม่มีะไรมากครับก็แค่กลับมาบอกว่าตอนนี้ผมได้กลับมาแล้วและจะเขียนบล็อกให้เพื่อนๆผู้รักการเลี้ยงปลาทองได้อ่านามเดิมสำหรับใครที่มีข้อติชมหรือข้อแลกเปลี่ยนก็สามารถเสนอแนะมาได้ที่ gootum7@gmail.com ยินดีตอนรับสำหรับความคิดเห็นครับ หรือใครต้องการเอารูปปลาทองของตัวเองมาแสดงโชว์ก็ส่งมาได้นะครับสำหรับตอนนี้คงเอาไว้แค่นี้ก่อนพบกันใหม่ตอนหน้าครับ สบายดี ^_^
โรคปลาทอง
การเลี้ยงปลาทองให้มีคุณภาพที่ดีจำเป็นต้องมีการดูแลเอาใจใส่ที่ดี แต่ในบางครั้งเมื่อสภาพอากาศ
เกิดการเปลี่ยนไปโดยเฉพาะในช่วงฤดูฝน ซึ่งพบว่าต้นฤดูฝนปลาที่เลี้ยงไว้ที่กลางแจ้งมักจะเกิดการ
ล้มป่วยและตายโดยไม่รู้สาเหตุ ทั้งนี้เป็นเพราะก่อนฝนตกอากาศจะร้อนอบอ้าว แต่พอฝนตกลงมา
อากาศก็เย็นลงอย่างรวดเร็ว ประกอบกับคุณสมบัติของน้ำก็เปลี่ยนไปอีกด้วยทำให้ปลาปรับสภาพไม่ทัน
จึงมักเกิดการล้มป่วย
สาเหตุของโรค
+ น้ำ ถ้าปล่อยให้น้ำเสียโดยไม่เปลี่ยนถ่ายน้ำ อาหารตกค้างมาก ค่าความถ่วงจำเพาะของน้ำมากกว่า 1
นั้นหมายความว่า มีสารละลายปนอยู่ ทำให้ปลาหายใจลำบากอาจเกิดโรคได้ เนื่องจาก pH ของน้ำ
เปลี่ยนไป น้ำฝนที่ตกลงมาใหม่ก็เป็นสาเหตุทำให้ pH เปลี่ยนไป เช่นกัน
+ อุณหภูมิและระดับออกซิเจนในน้ำ ถ้าเกิดการเปลี่ยนไปอุณหภูมิของน้ำที่ปลาอาศัยอยู่อย่างรวดเร็ว
(เกิดความแตกต่างของอุณหภูมิเกิน 5 c ในเวลาสั้น) ปริมาณออกซิเจนในน้ำลดลง ส่งผล
ให้ปลาอ่อนเพลียภูมิคุ้มกันของปลาลดลง
+ ก๊าซต่าง ๆ เกิดจากการหมักหมมของอาหารและสิ่งที่ปลาขับถ่ายออกมา เกิดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์
และแอมโมเนียที่เป็นพิษต่อปลา
+ พาหะนำเชื้อโรค ลูกน้ำ หนอนแดง ไรแดง อาจนำเชื้อโรคและปรสิตบางตัวมาสู่ปลา เช่น หนอนสมอ
โรคจุดขาว
+ การใช้เครื่องมือและอุปกรณ์ร่วมกับปลาที่เป็นโรค จะเป็นสาเหตุให้เกิดโรคได้ ควรมีบ่อเฉพาะสำหรับ
รักษาโรคและแยกอุปกรณ์ไว้ต่างหาก
วิธีการสังเกตปลาป่วย
ในขณะที่ปลาป่วย ปลาจะมีลักษณะและอาการว่ายน้ำผิดปกติ ซึ่งสามารถสังเกตได้ดังนี้
+ ลักษณะการเคลื่อนไหวของปลาที่เป็นโรคจะผิดปกติ มีอาการเซื่องซึม อาจว่ายน้ำเสียดสีหรือถู
กับก้นบ่อว่ายมาออกันที่ผิวน้ำ โดยเฉพาะปลาที่มีปรสิตเกาะ
+ ปลาที่เป็นโรค ขณะว่ายน้ำจะไม่กางครีบออกครีบอาจจะกร่อนแหว่งหายไป
+ เหงือกบวมแดงเห็นชัดเจน เนื่องจากหายใจไม่สะดวก พยายามเปิดปิดเหงือกมากที่สุด
เหงือกอาจบวมจนถึงกระดูกเหงือก
+ มีเลือกออกตามเกล็ด หรือมีบาดแผลตามตัว
+ ปลาที่เป็นโรคจะมีสีซีดกว่าปกติ
+ ปลาขับเมือกออกมามากผิดปกติ น้ำมีสีขาวขุ่นภาชนะที่ใช้เลี้ยงปลามีเมือกจับเต็มไปหมด
+ เกล็ดพองลุกชัน ท้องโต ทั้ง ๆ ที่ปลาไม่มีไข่เรียกว่าท้องมาร
+ ปลาผอมไม่ค่อยกินอาหาร โดยปกติปลาทองจะเป็นปลาที่กินอาหารเก่งและกินเกือบ
ตลอดเวลาไม่ค่อยหยุดถ้าปลาไม่ยอมกินอาหารแสดงว่าปลาอาจป่วย แต่ถ้าช่วงอากาศหนาว
หรืออากาศค่อนข้างเย็น ปลาจะไม่กินอาหารถือว่าเป็นเรื่องปกติ
+ ปลาเสียการทรงตัวเกิดจากถุงลมผิดปกติ อาจว่ายน้ำหมุนควงหรือว่ายน้ำแบบบังคับทิศทางไม่ได้
การเลี้ยงปลาทองให้มีคุณภาพที่ดีจำเป็นต้องมีการดูแลเอาใจใส่ที่ดี แต่ในบางครั้งเมื่อสภาพอากาศ
เกิดการเปลี่ยนไปโดยเฉพาะในช่วงฤดูฝน ซึ่งพบว่าต้นฤดูฝนปลาที่เลี้ยงไว้ที่กลางแจ้งมักจะเกิดการ
ล้มป่วยและตายโดยไม่รู้สาเหตุ ทั้งนี้เป็นเพราะก่อนฝนตกอากาศจะร้อนอบอ้าว แต่พอฝนตกลงมา
อากาศก็เย็นลงอย่างรวดเร็ว ประกอบกับคุณสมบัติของน้ำก็เปลี่ยนไปอีกด้วยทำให้ปลาปรับสภาพไม่ทัน
จึงมักเกิดการล้มป่วย
สาเหตุของโรค
+ น้ำ ถ้าปล่อยให้น้ำเสียโดยไม่เปลี่ยนถ่ายน้ำ อาหารตกค้างมาก ค่าความถ่วงจำเพาะของน้ำมากกว่า 1
นั้นหมายความว่า มีสารละลายปนอยู่ ทำให้ปลาหายใจลำบากอาจเกิดโรคได้ เนื่องจาก pH ของน้ำ
เปลี่ยนไป น้ำฝนที่ตกลงมาใหม่ก็เป็นสาเหตุทำให้ pH เปลี่ยนไป เช่นกัน
+ อุณหภูมิและระดับออกซิเจนในน้ำ ถ้าเกิดการเปลี่ยนไปอุณหภูมิของน้ำที่ปลาอาศัยอยู่อย่างรวดเร็ว
(เกิดความแตกต่างของอุณหภูมิเกิน 5 c ในเวลาสั้น) ปริมาณออกซิเจนในน้ำลดลง ส่งผล
ให้ปลาอ่อนเพลียภูมิคุ้มกันของปลาลดลง
+ ก๊าซต่าง ๆ เกิดจากการหมักหมมของอาหารและสิ่งที่ปลาขับถ่ายออกมา เกิดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์
และแอมโมเนียที่เป็นพิษต่อปลา
+ พาหะนำเชื้อโรค ลูกน้ำ หนอนแดง ไรแดง อาจนำเชื้อโรคและปรสิตบางตัวมาสู่ปลา เช่น หนอนสมอ
โรคจุดขาว
+ การใช้เครื่องมือและอุปกรณ์ร่วมกับปลาที่เป็นโรค จะเป็นสาเหตุให้เกิดโรคได้ ควรมีบ่อเฉพาะสำหรับ
รักษาโรคและแยกอุปกรณ์ไว้ต่างหาก
วิธีการสังเกตปลาป่วย
ในขณะที่ปลาป่วย ปลาจะมีลักษณะและอาการว่ายน้ำผิดปกติ ซึ่งสามารถสังเกตได้ดังนี้
+ ลักษณะการเคลื่อนไหวของปลาที่เป็นโรคจะผิดปกติ มีอาการเซื่องซึม อาจว่ายน้ำเสียดสีหรือถู
กับก้นบ่อว่ายมาออกันที่ผิวน้ำ โดยเฉพาะปลาที่มีปรสิตเกาะ
+ ปลาที่เป็นโรค ขณะว่ายน้ำจะไม่กางครีบออกครีบอาจจะกร่อนแหว่งหายไป
+ เหงือกบวมแดงเห็นชัดเจน เนื่องจากหายใจไม่สะดวก พยายามเปิดปิดเหงือกมากที่สุด
เหงือกอาจบวมจนถึงกระดูกเหงือก
+ มีเลือกออกตามเกล็ด หรือมีบาดแผลตามตัว
+ ปลาที่เป็นโรคจะมีสีซีดกว่าปกติ
+ ปลาขับเมือกออกมามากผิดปกติ น้ำมีสีขาวขุ่นภาชนะที่ใช้เลี้ยงปลามีเมือกจับเต็มไปหมด
+ เกล็ดพองลุกชัน ท้องโต ทั้ง ๆ ที่ปลาไม่มีไข่เรียกว่าท้องมาร
+ ปลาผอมไม่ค่อยกินอาหาร โดยปกติปลาทองจะเป็นปลาที่กินอาหารเก่งและกินเกือบ
ตลอดเวลาไม่ค่อยหยุดถ้าปลาไม่ยอมกินอาหารแสดงว่าปลาอาจป่วย แต่ถ้าช่วงอากาศหนาว
หรืออากาศค่อนข้างเย็น ปลาจะไม่กินอาหารถือว่าเป็นเรื่องปกติ
+ ปลาเสียการทรงตัวเกิดจากถุงลมผิดปกติ อาจว่ายน้ำหมุนควงหรือว่ายน้ำแบบบังคับทิศทางไม่ได้
การเลี้ยงปลาทอง-การฟักไข่
ไข่ที่ติดกับSeaweedหรือเชือกฟางจะมีสีเหลืองใส ไข่ที่ได้รับการผสมจะฟักเป็นตัวภายใน 2-3 day
ขึ้นกับอุณหภูมิน้ำ ส่วนไข่ปลาที่ไม่ได้รับการผสมน้ำเชื้อจะเริ่มเปลี่ยนเป็นสีขาวขุ่น ไข่ที่เริ่มฟักเป็นตัว
จะมีจุดดำ (Eye spot) ปรากฏขึ้น จากนั้นส่วนหางก็จะค่อย ๆ เจริญขึ้นมาจนสามารถมองเห็นการ
เคลื่อนไหวได้ ลูกปลาแรกฟักมีขนาดเล็กตัวใสเกาะติดกับรังไข่ หลังจากฟักเป็นตัวแล้วประมาณ 2-3 day
ลูกปลาจึงจะว่ายออกจากรังไข่และว่ายน้ำเป็นอิสระลูกปลาที่เกิดใหม่จะมีสีน้ำตาลคล้ำหรือสีดำ
หลังจากนั้นสีทองจะเริ่มพัฒนาขึ้น ตั้งแต่ 2 สัปดาห์ขึ้นไป การเลี้ยงปลาทอง-การอนุบาลลูกปลาจะอนุบาลในบ่อเดิมหรือ
นำมาขยายบ่อเพื่ออนุบาลต่อไปก็ได้ ขณะที่ทำการดูดเปลี่ยนถ่ายน้ำ ควรใช้กระชอนตาถี่หรือผ้าบาง ๆ
มารองรับกันลูกปลาไหลไปตามน้ำ
การเลี้ยงปลาทอง-การอนุบาลลูกปลา
บ่อที่ใช้อนุบาลลูกปลาไม่ควรเป็นบ่อขนาดใหญ่มาก เพราะจะทำให้การดูแลและการจัดการลำบาก
โดยทั่วไปการเลี้ยงปลาทอง-การอนุบาลลูกปลาอาจใช้บ่อกลม ซึ่งมีเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 80 cm หรืออาจจะ
ใช้บ่อสี่เหลี่ยมขนาดประมาณ 1 ตารางเมตรก็ได้
ในช่วงที่ลูกปลาฟักตัวออกมาระยะ 2-3 dayแรก ยังไม่จำเป็นต้องให้อาหาร เนื่องจากลูกปลามีถุง
อาหาร (Yolk sac) อยู่ซึ่งลูกปลาจะดูดซึมอาหารจากถุงอาหารนี้ หลังจาก 3 dayแล้วจึงเริ่มให้อาหาร
โดยให้ลูกไรแดงขนาดเล็กที่ผ่านการกรองด้วยตาข่ายหรือจะใช้ไข่แดงต้มสุกละลายน้ำแล้วหยดให้ปลา
กิน dayละ 3-4 ครั้ง ให้ประมาณ 2-3 day การให้ไข่แดงต้องระมัดระวังปริมาณการให้เพราะไข่จะทำ
ให้น้ำเสียเร็วควรให้แต่น้อย ๆรอให้ปลากินหมดแล้วจึงให้เพิ่ม และถ้าปลากินเหลือควรดูดเศษอาหาร
ออกโดยใช้สายยางขนาดเล็กดูดออกในกรณีที่ต้องใช้น้ำประปาที่มีต้นทุนสูงควรเปลี่ยนถ่ายน้ำแต่น้อย ๆ
และบ่อยครั้งขึ้น เพื่อป้องกันการเปลี่ยนแปลงคุณสมบัติของน้ำทำให้ลูกปลาตายได้ และใช้กระชอนตาถี่ ๆ
มาวางไว้เพื่อรองรับน้ำที่ถูกดูดออกมาจากบ่อเลี้ยงปลาเพราะอาจจะมีลูกปลาถูกดูดติดออกมาได้ อัตรา
การเปลี่ยนถ่ายน้ำในแต่ละครั้งไม่ควรเกิน 20-25% ของปริมาณน้ำในบ่อ
บางฟาร์มที่ใช้น้ำจากแหล่งน้ำธรรมชาติซึ่งมีต้นทุนต่ำอาจเปลี่ยนถ่ายน้ำตลอดเวลา โดยใช้ระบบ
น้ำหมุนเวียน หลังจากที่ให้ไข่แดงหรือลูกไรแดงแล้ว 3 day ควรเปลี่ยนเป็นไรแดงขนาดใหญ่ขึ้น ลูกปลา
มีอายุ 15 dayจึงเริ่มให้อาหารสำเร็จรูป และอาหารสดที่มีขนาดใหญ่เสริม เช่น ลูกน้ำ ไส้เดือนน้ำ ควร
ให้dayละ 3-4 ครั้ง เมื่ออนุบาลลูกปลาจนกระทั่งมีอายุ 2 สัปดาห์ควรคัดปลาที่พิการออกไปเป็นปลาเหยื่อ
และเลือกปลาที่มีลักษณะที่ดีไว้ โดยพิจารณาจากลักษณะรูปทรงของลำตัว และครีบต่าง ๆ โดยเฉพาะ
ครีบหางและควรมีการคัดขนาดด้วย เพราะลูกปลาที่มีขนาดเล็กจะแย่งอาหารไม่ทันลูกปลาที่มีขนาด
ใหญ่กว่าจึงควรคัดออกเพื่อนำมาแยกเลี้ยง
สำหรับการเลี้ยงปลาทอง-การอนุบาลลูกปลาขนาดเล็กไม่ควรนำไปเลี้ยงในน้ำที่มีระดับความลึกมาก เพราะจะทำให้
ปลามีรูปร่างไม่สวยงาม และไม่เลี้ยงหนาแน่นเกินไป ควรเลี้ยงในอัตราส่วน 100 - 250 ตัว/ตารางเมตร
หลังจากที่อนุบาลลูกปลาประมาณ 1 เดือน ลูกปลาจะมีขนาด 2-3 cm อาจให้หนอนแดง ไส้เดือนน้ำ
หรือหนอนขี้หมูขาวด้วยก็ได้แต่ต้องนำมาต้มก่อนเพื่อป้องกันการติดเชื้อของปลาหรือจะให้อาหารสำเร็จรูป
เป็นอาหารปลาดุกเล็ก หรืออาหารผสมระหว่างอาหารปลาดุเล็กกับไข่ตุ๋นก็ได้
ไข่ที่ติดกับSeaweedหรือเชือกฟางจะมีสีเหลืองใส ไข่ที่ได้รับการผสมจะฟักเป็นตัวภายใน 2-3 day
ขึ้นกับอุณหภูมิน้ำ ส่วนไข่ปลาที่ไม่ได้รับการผสมน้ำเชื้อจะเริ่มเปลี่ยนเป็นสีขาวขุ่น ไข่ที่เริ่มฟักเป็นตัว
จะมีจุดดำ (Eye spot) ปรากฏขึ้น จากนั้นส่วนหางก็จะค่อย ๆ เจริญขึ้นมาจนสามารถมองเห็นการ
เคลื่อนไหวได้ ลูกปลาแรกฟักมีขนาดเล็กตัวใสเกาะติดกับรังไข่ หลังจากฟักเป็นตัวแล้วประมาณ 2-3 day
ลูกปลาจึงจะว่ายออกจากรังไข่และว่ายน้ำเป็นอิสระลูกปลาที่เกิดใหม่จะมีสีน้ำตาลคล้ำหรือสีดำ
หลังจากนั้นสีทองจะเริ่มพัฒนาขึ้น ตั้งแต่ 2 สัปดาห์ขึ้นไป การเลี้ยงปลาทอง-การอนุบาลลูกปลาจะอนุบาลในบ่อเดิมหรือ
นำมาขยายบ่อเพื่ออนุบาลต่อไปก็ได้ ขณะที่ทำการดูดเปลี่ยนถ่ายน้ำ ควรใช้กระชอนตาถี่หรือผ้าบาง ๆ
มารองรับกันลูกปลาไหลไปตามน้ำ
การเลี้ยงปลาทอง-การอนุบาลลูกปลา
บ่อที่ใช้อนุบาลลูกปลาไม่ควรเป็นบ่อขนาดใหญ่มาก เพราะจะทำให้การดูแลและการจัดการลำบาก
โดยทั่วไปการเลี้ยงปลาทอง-การอนุบาลลูกปลาอาจใช้บ่อกลม ซึ่งมีเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 80 cm หรืออาจจะ
ใช้บ่อสี่เหลี่ยมขนาดประมาณ 1 ตารางเมตรก็ได้
ในช่วงที่ลูกปลาฟักตัวออกมาระยะ 2-3 dayแรก ยังไม่จำเป็นต้องให้อาหาร เนื่องจากลูกปลามีถุง
อาหาร (Yolk sac) อยู่ซึ่งลูกปลาจะดูดซึมอาหารจากถุงอาหารนี้ หลังจาก 3 dayแล้วจึงเริ่มให้อาหาร
โดยให้ลูกไรแดงขนาดเล็กที่ผ่านการกรองด้วยตาข่ายหรือจะใช้ไข่แดงต้มสุกละลายน้ำแล้วหยดให้ปลา
กิน dayละ 3-4 ครั้ง ให้ประมาณ 2-3 day การให้ไข่แดงต้องระมัดระวังปริมาณการให้เพราะไข่จะทำ
ให้น้ำเสียเร็วควรให้แต่น้อย ๆรอให้ปลากินหมดแล้วจึงให้เพิ่ม และถ้าปลากินเหลือควรดูดเศษอาหาร
ออกโดยใช้สายยางขนาดเล็กดูดออกในกรณีที่ต้องใช้น้ำประปาที่มีต้นทุนสูงควรเปลี่ยนถ่ายน้ำแต่น้อย ๆ
และบ่อยครั้งขึ้น เพื่อป้องกันการเปลี่ยนแปลงคุณสมบัติของน้ำทำให้ลูกปลาตายได้ และใช้กระชอนตาถี่ ๆ
มาวางไว้เพื่อรองรับน้ำที่ถูกดูดออกมาจากบ่อเลี้ยงปลาเพราะอาจจะมีลูกปลาถูกดูดติดออกมาได้ อัตรา
การเปลี่ยนถ่ายน้ำในแต่ละครั้งไม่ควรเกิน 20-25% ของปริมาณน้ำในบ่อ
บางฟาร์มที่ใช้น้ำจากแหล่งน้ำธรรมชาติซึ่งมีต้นทุนต่ำอาจเปลี่ยนถ่ายน้ำตลอดเวลา โดยใช้ระบบ
น้ำหมุนเวียน หลังจากที่ให้ไข่แดงหรือลูกไรแดงแล้ว 3 day ควรเปลี่ยนเป็นไรแดงขนาดใหญ่ขึ้น ลูกปลา
มีอายุ 15 dayจึงเริ่มให้อาหารสำเร็จรูป และอาหารสดที่มีขนาดใหญ่เสริม เช่น ลูกน้ำ ไส้เดือนน้ำ ควร
ให้dayละ 3-4 ครั้ง เมื่ออนุบาลลูกปลาจนกระทั่งมีอายุ 2 สัปดาห์ควรคัดปลาที่พิการออกไปเป็นปลาเหยื่อ
และเลือกปลาที่มีลักษณะที่ดีไว้ โดยพิจารณาจากลักษณะรูปทรงของลำตัว และครีบต่าง ๆ โดยเฉพาะ
ครีบหางและควรมีการคัดขนาดด้วย เพราะลูกปลาที่มีขนาดเล็กจะแย่งอาหารไม่ทันลูกปลาที่มีขนาด
ใหญ่กว่าจึงควรคัดออกเพื่อนำมาแยกเลี้ยง
สำหรับการเลี้ยงปลาทอง-การอนุบาลลูกปลาขนาดเล็กไม่ควรนำไปเลี้ยงในน้ำที่มีระดับความลึกมาก เพราะจะทำให้
ปลามีรูปร่างไม่สวยงาม และไม่เลี้ยงหนาแน่นเกินไป ควรเลี้ยงในอัตราส่วน 100 - 250 ตัว/ตารางเมตร
หลังจากที่อนุบาลลูกปลาประมาณ 1 เดือน ลูกปลาจะมีขนาด 2-3 cm อาจให้หนอนแดง ไส้เดือนน้ำ
หรือหนอนขี้หมูขาวด้วยก็ได้แต่ต้องนำมาต้มก่อนเพื่อป้องกันการติดเชื้อของปลาหรือจะให้อาหารสำเร็จรูป
เป็นอาหารปลาดุกเล็ก หรืออาหารผสมระหว่างอาหารปลาดุเล็กกับไข่ตุ๋นก็ได้
การเลี้ยงปลาทองและการเพาะพันธุ์ปลาทอง
ในช่วงหน้าฝนเป็นช่วงเวลาที่ปลาทองจะผสมพันธุ์วางไข่ก่อนหรือหลังระยะดังกล่าวก็อาจเพาะพันธุ์
ได้บ้างแต่เป็นส่วนน้อยปลาทองจะถึงวัยเจริญพันธุ์เมื่ออายุ 4-6 month แต่ช่วงที่เหมาะสมคืออาย
ุ 7-8 month และจะวางไข่ไปเรื่อย ๆ จนอายุ 6-7 year แต่เนื่องจากเมืองไทยเป็นเมืองร้อนปลาสามารถ
วางไข่ได้เป็นระยะเวลาหลายmonthใน 1 year จึงทำให้อายุใช้งานของพ่อแม่พันธุ์น้อยลงคือประมาณ 2 year
ผู้เลี้ยงก็จะต้องหาพ่อแม่พันธุ์ใหม่
การเลี้ยงปลาทองและการเพาะพันธุ์ปลาทองอาจเพาะพันธุ์ได้ในตู้กระจก บ่อซีเมนต์กลมขนาดเล็กเส้นผ่าศูนย์กลางตั้งแต่
80 cm หรือใช้บ่อสี่เหลี่ยมขนาด 1 ตารางเมตรขึ้นไป หลังจากทำความสะอาดบ่อหรือภาชนะ
เรียบร้อยแล้วให้เติมน้ำสะอาดที่ปราศจากคลอรีน (อุณหภูมิของน้ำควรอยู่ในช่วง 25 - 28 c)
ให้ระดับน้ำสูงประมาณ 20-30 cm และควรใส่สาหร่ายหรือผักตบชวาโดยนำมาแช่ด่างทับทิม
ก่อนหรือใช้เชือกฟาง นำเชือกฟางมามัดแล้วฉีกเป็นเส้นฝอยใส่ลงในบ่อเพื่อให้ไข่เกาะ เพราะไข่ของปลา
ทองเป็นประเภทไข่ติด หรืออาจจะเพาะในกะละมัง ซึ่งวิธีนี้ไม่ต้องใส่เชือกฟางให้ไข่เกาะ เพราะไข่จะ
เกาะติดกับกะละมังที่ใช้เพาะฟัก
การเลี้ยงปลาทองและการเพาะพันธุ์ปลาทองสามารถเพาะพันธุ์โดยวิธีเลียนแบบธรรมชาติ หรือโดยวิธีผสมเทียม ดังนี้
การเพาะพันธุ์โดยวิธีเลียนแบบธรรมชาติ เป็นวิธีการเลี้ยงปลาทองและการเพาะพันธุ์ปลาทองแบบง่ายและประหยัด บ่อหรือ
ภาชนะที่มีขนาดประมาณ 1 ตารางเมตร เป็นขนาดที่เหมาะสมที่สุดและควรปล่อยพ่อแม่ปลาเพียง 4-6
ตัว/บ่อ โดยนำพ่อแม่พันธุ์ที่มีความสมบูรณ์พร้อมผสมพันธุ์ที่คัดไว้เรียบร้อยแล้วมาใส่ในบ่อเพาะ ในอัตรา
ส่วนตัวผู้ : ตัวเมีย เท่ากับ 1 : 1 หรือ 2 : 1 ขึ้นกับปริมาณน้ำเชื้อของตัวผู้และความสมบูรณ์เพศของแม่พันธุ์
ปลาตัวผู้จะเริ่มไล่ปลาตัวเมียโดยใช้ปากดุนที่ท้องปลาตัวเมียเพื่อกระตุ้นให้วางไข่ ตัวเมียปล่อยไข่เป็นระยะ ๆ
ขณะเดียวกันตัวผู้จะปล่อยน้ำเชื้อเข้าผสมกับไข่ ไข่ก็จะกระจายติดกับสาหร่าย ผักตบชวาหรือเชือกฟางที่อยู่
ไว้ในบ่อ
เนื่องจากไข่มีลักษณะเป็นเมือกเหนียวช่วยในการยึดเกาะได้ระยะเวลาในการผสมพันธุ์ อาจใช้เวลาถึง
3ชั่วโมง ปลาจึงวางไข่หมด แม่ปลาวางไข่ครั้งละ 500-5000 ฟอง โดยปริมาณไข่จะขึ้นกับขนาดของแม่
ปลา ปลาตัวเล็กปริมาณไข่ก็จะน้อย ภายหลังจากที่ปลาผสมพันธุ์กันแล้ว จะสังเกตเห็นน้ำในบ่อเพาะพันธุ์มี
ลักษณะเป็นฟองคล้ายมีเมือกผสมอยู่ในน้ำหรือสามารถตรวจสอบอย่างง่าย ๆก็คือ หลังจากที่ใส่รังเทียม
ในตอนเย็นจะสามารถตรวจสอบการวางไข่ในตอนเช้า หลังจากที่แม่ปลาวางไข่แล้ว ควรแยกพ่อแม่ออกไป
เลี้ยงในบ่ออื่น หรือจะเก็บรังเทียมไปฟักในบ่ออื่นก็ได้ แต่วิธีนี้ไข่อาจติดอยู่บริเวณขอบหรือพื้นก้นบ่อยากแก่
การรวบรวม โดยปกติแม่ปลาทองจะวางไข่มากในช่วงmonth เมษายน - ตุลาคม
หลังจากปลาผสมพันธุ์แล้ว พ่อแม่ปลาจะไม่สนใจกับไข่ปลา และบางครั้งอาจกินไข่ด้วย ดังนั้นจึงจำเป็น
ต้องแยกพ่อแม่ปลาออกทันที
การเพาะพันธุ์โดยวิธีผสมเทียม
การเพาะพันธุ์โดยวิธีผสมเทียมจะทำให้อัตราการผสมไข่และน้ำเชื้อสูงมากมีอัตราการฟักไข่สูงกว่าการ
เพาะพันธุ์โดยวิธีธรรมชาติแต่ขั้นตอนจะยุ่งยากกว่าหลังจากที่เตรียมอ่างเพาะหรือบ่อเพาะปลาแล้วให้ตรวจ
ความพร้อมของแม่ปลา สำหรับแม่ปลาจะต้องมีท้องนิ่มพร้อมที่จะวางไข่การผสมพันธุ์โดยวิธีนี้ควรทำตอน
เช้ามืดใกล้สว่าง ซึ่งเป็นเวลาที่ปลาชอบผสมพันธุ์กันเอง โดยใช้ปลาตัวผู้ : ปลาตัวเมียในอัตราส่วน 1 : 1 หรือ
2 : 1 ตัว เพื่อให้น้ำเชื้อของปลาตัวผู้มีปริมาณเพียงพอกับจำนวนไข่ของปลาตัวเมีย รีดไข่จากแม่ปลาลงใน
กะละมังที่มีน้ำสะอาด แล้วรีดน้ำเชื้อจากปลาตัวผู้ 1-2 ตัวลงผสมพร้อม ๆ กันขั้นตอนการรีดต้องทำอย่าง
รวดเร็วและนุ่มนวล เพราะปลาอาจเกิดบอบช้ำหรือถึงตายได้ถ้าปลาอยู่ในมือนาน จากนั้นคลุกเคล้าไข่กับน้ำ
เชื้อให้เข้ากัน เพื่อให้น้ำเชื้อของปลาตัวผู้ไปผสมกับไข่ของปลาตัวเมียได้อย่างทั่วถึง แล้วล้างไข่ด้วยน้ำสะอาด
1-2 ครั้ง วิธีนี้จะช่วยให้อัตราการฟักเป็นตัวของไข่ปลามีมากกว่าการปล่อยให้ปลาผสมพันธุ์กันเองตามวิธี
ธรรมชาติ เมื่อไข่ถูกน้ำจะดูดซึมน้ำเข้าภายในเซลล์ (Cell) และมีสารเหนียว ๆ ทำให้ไข่ติดกับกะละมัง ถ้าแม่
ปลา 1 ตัวที่มีปริมาณไข่มาก สามารถรีดไข่ได้ 2-3 กะละมัง (กะละมังขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 12 นิ้ว) ไข่ที่
ได้รับการผสมน้ำเชื้อจะมีลักษณะใสวาว ๆ สีเหลือง ส่วนไข่ที่ไม่ได้รับการผสม มีสีขาวขุ่น
นำกะลังมังที่มีไข่ปลาติดอยู่ ไปใส่ในบ่อฟักที่มีระดับน้ำลึกประมาณ 30 cm โดยวางกะละมังให้
จมน้ำ ให้ออกซิเจนเบา ๆ เป็นจุด ๆ ตลอดเวลา อุณหภูมิของน้ำภายในอ่างฟักไข่อยู่ในช่วง 27 - 28 c การควบคุมอุณหภูมิน้ำในช่วงที่ไข่ฟักตัวเป็นสิ่งสำคัญมาก เนื่องจากในช่วงที่ไข่ปลากำลังฟักตัวจะมีภูมิต้าน
ทานน้อยมาก ถ้าหากอุณหภูมิของน้ำเกิดการเปลี่ยนแปลงมากอาจทำให้ไข่ปลาเสียได้ ในช่วงฤดูหนาวที่อุณหภูมิ
ลดลงมากอาจใช้ฮีทเตอร์ เพื่อช่วยในการควบคุมอุณหภูมิน้ำ
ในช่วงหน้าฝนเป็นช่วงเวลาที่ปลาทองจะผสมพันธุ์วางไข่ก่อนหรือหลังระยะดังกล่าวก็อาจเพาะพันธุ์
ได้บ้างแต่เป็นส่วนน้อยปลาทองจะถึงวัยเจริญพันธุ์เมื่ออายุ 4-6 month แต่ช่วงที่เหมาะสมคืออาย
ุ 7-8 month และจะวางไข่ไปเรื่อย ๆ จนอายุ 6-7 year แต่เนื่องจากเมืองไทยเป็นเมืองร้อนปลาสามารถ
วางไข่ได้เป็นระยะเวลาหลายmonthใน 1 year จึงทำให้อายุใช้งานของพ่อแม่พันธุ์น้อยลงคือประมาณ 2 year
ผู้เลี้ยงก็จะต้องหาพ่อแม่พันธุ์ใหม่
การเลี้ยงปลาทองและการเพาะพันธุ์ปลาทองอาจเพาะพันธุ์ได้ในตู้กระจก บ่อซีเมนต์กลมขนาดเล็กเส้นผ่าศูนย์กลางตั้งแต่
80 cm หรือใช้บ่อสี่เหลี่ยมขนาด 1 ตารางเมตรขึ้นไป หลังจากทำความสะอาดบ่อหรือภาชนะ
เรียบร้อยแล้วให้เติมน้ำสะอาดที่ปราศจากคลอรีน (อุณหภูมิของน้ำควรอยู่ในช่วง 25 - 28 c)
ให้ระดับน้ำสูงประมาณ 20-30 cm และควรใส่สาหร่ายหรือผักตบชวาโดยนำมาแช่ด่างทับทิม
ก่อนหรือใช้เชือกฟาง นำเชือกฟางมามัดแล้วฉีกเป็นเส้นฝอยใส่ลงในบ่อเพื่อให้ไข่เกาะ เพราะไข่ของปลา
ทองเป็นประเภทไข่ติด หรืออาจจะเพาะในกะละมัง ซึ่งวิธีนี้ไม่ต้องใส่เชือกฟางให้ไข่เกาะ เพราะไข่จะ
เกาะติดกับกะละมังที่ใช้เพาะฟัก
การเลี้ยงปลาทองและการเพาะพันธุ์ปลาทองสามารถเพาะพันธุ์โดยวิธีเลียนแบบธรรมชาติ หรือโดยวิธีผสมเทียม ดังนี้
การเพาะพันธุ์โดยวิธีเลียนแบบธรรมชาติ เป็นวิธีการเลี้ยงปลาทองและการเพาะพันธุ์ปลาทองแบบง่ายและประหยัด บ่อหรือ
ภาชนะที่มีขนาดประมาณ 1 ตารางเมตร เป็นขนาดที่เหมาะสมที่สุดและควรปล่อยพ่อแม่ปลาเพียง 4-6
ตัว/บ่อ โดยนำพ่อแม่พันธุ์ที่มีความสมบูรณ์พร้อมผสมพันธุ์ที่คัดไว้เรียบร้อยแล้วมาใส่ในบ่อเพาะ ในอัตรา
ส่วนตัวผู้ : ตัวเมีย เท่ากับ 1 : 1 หรือ 2 : 1 ขึ้นกับปริมาณน้ำเชื้อของตัวผู้และความสมบูรณ์เพศของแม่พันธุ์
ปลาตัวผู้จะเริ่มไล่ปลาตัวเมียโดยใช้ปากดุนที่ท้องปลาตัวเมียเพื่อกระตุ้นให้วางไข่ ตัวเมียปล่อยไข่เป็นระยะ ๆ
ขณะเดียวกันตัวผู้จะปล่อยน้ำเชื้อเข้าผสมกับไข่ ไข่ก็จะกระจายติดกับสาหร่าย ผักตบชวาหรือเชือกฟางที่อยู่
ไว้ในบ่อ
เนื่องจากไข่มีลักษณะเป็นเมือกเหนียวช่วยในการยึดเกาะได้ระยะเวลาในการผสมพันธุ์ อาจใช้เวลาถึง
3ชั่วโมง ปลาจึงวางไข่หมด แม่ปลาวางไข่ครั้งละ 500-5000 ฟอง โดยปริมาณไข่จะขึ้นกับขนาดของแม่
ปลา ปลาตัวเล็กปริมาณไข่ก็จะน้อย ภายหลังจากที่ปลาผสมพันธุ์กันแล้ว จะสังเกตเห็นน้ำในบ่อเพาะพันธุ์มี
ลักษณะเป็นฟองคล้ายมีเมือกผสมอยู่ในน้ำหรือสามารถตรวจสอบอย่างง่าย ๆก็คือ หลังจากที่ใส่รังเทียม
ในตอนเย็นจะสามารถตรวจสอบการวางไข่ในตอนเช้า หลังจากที่แม่ปลาวางไข่แล้ว ควรแยกพ่อแม่ออกไป
เลี้ยงในบ่ออื่น หรือจะเก็บรังเทียมไปฟักในบ่ออื่นก็ได้ แต่วิธีนี้ไข่อาจติดอยู่บริเวณขอบหรือพื้นก้นบ่อยากแก่
การรวบรวม โดยปกติแม่ปลาทองจะวางไข่มากในช่วงmonth เมษายน - ตุลาคม
หลังจากปลาผสมพันธุ์แล้ว พ่อแม่ปลาจะไม่สนใจกับไข่ปลา และบางครั้งอาจกินไข่ด้วย ดังนั้นจึงจำเป็น
ต้องแยกพ่อแม่ปลาออกทันที
การเพาะพันธุ์โดยวิธีผสมเทียม
การเพาะพันธุ์โดยวิธีผสมเทียมจะทำให้อัตราการผสมไข่และน้ำเชื้อสูงมากมีอัตราการฟักไข่สูงกว่าการ
เพาะพันธุ์โดยวิธีธรรมชาติแต่ขั้นตอนจะยุ่งยากกว่าหลังจากที่เตรียมอ่างเพาะหรือบ่อเพาะปลาแล้วให้ตรวจ
ความพร้อมของแม่ปลา สำหรับแม่ปลาจะต้องมีท้องนิ่มพร้อมที่จะวางไข่การผสมพันธุ์โดยวิธีนี้ควรทำตอน
เช้ามืดใกล้สว่าง ซึ่งเป็นเวลาที่ปลาชอบผสมพันธุ์กันเอง โดยใช้ปลาตัวผู้ : ปลาตัวเมียในอัตราส่วน 1 : 1 หรือ
2 : 1 ตัว เพื่อให้น้ำเชื้อของปลาตัวผู้มีปริมาณเพียงพอกับจำนวนไข่ของปลาตัวเมีย รีดไข่จากแม่ปลาลงใน
กะละมังที่มีน้ำสะอาด แล้วรีดน้ำเชื้อจากปลาตัวผู้ 1-2 ตัวลงผสมพร้อม ๆ กันขั้นตอนการรีดต้องทำอย่าง
รวดเร็วและนุ่มนวล เพราะปลาอาจเกิดบอบช้ำหรือถึงตายได้ถ้าปลาอยู่ในมือนาน จากนั้นคลุกเคล้าไข่กับน้ำ
เชื้อให้เข้ากัน เพื่อให้น้ำเชื้อของปลาตัวผู้ไปผสมกับไข่ของปลาตัวเมียได้อย่างทั่วถึง แล้วล้างไข่ด้วยน้ำสะอาด
1-2 ครั้ง วิธีนี้จะช่วยให้อัตราการฟักเป็นตัวของไข่ปลามีมากกว่าการปล่อยให้ปลาผสมพันธุ์กันเองตามวิธี
ธรรมชาติ เมื่อไข่ถูกน้ำจะดูดซึมน้ำเข้าภายในเซลล์ (Cell) และมีสารเหนียว ๆ ทำให้ไข่ติดกับกะละมัง ถ้าแม่
ปลา 1 ตัวที่มีปริมาณไข่มาก สามารถรีดไข่ได้ 2-3 กะละมัง (กะละมังขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 12 นิ้ว) ไข่ที่
ได้รับการผสมน้ำเชื้อจะมีลักษณะใสวาว ๆ สีเหลือง ส่วนไข่ที่ไม่ได้รับการผสม มีสีขาวขุ่น
นำกะลังมังที่มีไข่ปลาติดอยู่ ไปใส่ในบ่อฟักที่มีระดับน้ำลึกประมาณ 30 cm โดยวางกะละมังให้
จมน้ำ ให้ออกซิเจนเบา ๆ เป็นจุด ๆ ตลอดเวลา อุณหภูมิของน้ำภายในอ่างฟักไข่อยู่ในช่วง 27 - 28 c การควบคุมอุณหภูมิน้ำในช่วงที่ไข่ฟักตัวเป็นสิ่งสำคัญมาก เนื่องจากในช่วงที่ไข่ปลากำลังฟักตัวจะมีภูมิต้าน
ทานน้อยมาก ถ้าหากอุณหภูมิของน้ำเกิดการเปลี่ยนแปลงมากอาจทำให้ไข่ปลาเสียได้ ในช่วงฤดูหนาวที่อุณหภูมิ
ลดลงมากอาจใช้ฮีทเตอร์ เพื่อช่วยในการควบคุมอุณหภูมิน้ำ
การเตรียมปลาเพื่อการเพาะพันธุ์
การเลี้ยงปลาทองเพื่อให้ได้ลูกปลาที่มีคุณภาพดีและปริมาณมากจำเป็นต้องมีการคัดเลือกพ่อแม่
พันธุ์ที่มีความสมบูรณ์ซึ่งมีเทคนิคในการเตรียมพ่อแม่พันธุ์ปลา ดังนี้
การคัดเลือกพ่อแม่พันธุ์ การเลี้ยงปลาทองจะประสบผลสำเร็จต่อเมื่อคุณภาพดีของลูกปลามีลักษณะ
ตรงตามที่ตลาดต้องการ การคัดเลือกพ่อแม่พันธุ์จึงนับเป็นปัจจัยสำคัญมากในการเพาะเลี้ยงปลาทอง
เพราะลูกปลาจะมีคุณภาพดีดีหรือไม่ขึ้นอยู่กับลักษณะที่พ่อแม่พันธุ์ถ่ายทอดมายังลูกหลานซึ่งมีหลักเกณฑ์
ในการพิจารณาคัดเลือกพ่อแม่พันธุ์ ดังนี้
+ ไม่ควรเลือกพ่อแม่พันธุ์ครอกเดียวกันมาทำการผสมพันธุ์ เพราะอาจได้ลุกปลาที่มีลักษณะด้อย โตช้า
อ่อนแอหรือมีความผิดปกติ เนื่องจากการผสมปลาในครอกเดียวกัน เป็นการผสมเลือดชิด (Inbreeding)
+ ควรเลือกพ่อแม่พันธุ์ที่ยังมีอายุไม่มากนัก (อายุไม่เกิน 2 ปี) เพราะปลารุ่นมีความปราดเปรียว วางไข่
ได้ครั้งละมาก ๆ น้ำเชื้อมีความแข็งแรงสมบูรณ์ พ่อแม่พันธุ์ต้องอยู่ในสภาพพร้อมผสมพันธุ์ได้จริง
+ เลือกพ่อแม่พันธุ์ที่มีลักษณะดี ไม่พิการ มีสีสันเข้ม เด่นชัด มีความแข็งแรงปราดเปรียว และมีขนาด
ใหญ่ปานกลางเป็นปลาที่เลี้ยงง่ายเติบโตเร็ว
การเลี้ยงพ่อแม่พันธุ์ปลา หลังจากที่มีการคัดเลือกพ่อแม่พันธุ์แล้ว การเลี้ยงพ่อแม่พันธุ์ก็นับเป็นสิ่ง
สำคัญในการเพาะพันธุ์ปลา หากพ่อแม่พันธุ์มีความสมบูรณ์ทางเพศเต็มที่แล้ว จะสามารถเพาะพันธุ์
ได้โดยง่าย ปลาจะผสมพันธุ์และวางไข่ได้เอง ตามธรรมชาติ ปลาทองที่จะนำมาเป็นพ่อแม่พันธุ์ควร
มีอายุประมาณ 5-6 เดือนขึ้นไป ถ้าอายุน้อยจะทำให้ลูกปลาที่ได้พิการเป็นส่วนมาก การเลี้ยงปลาทอง
เพื่อให้เป็นพ่อแม่พันธุ์สามารถเลี้ยงได้ทั้งในบ่อซีเมนต์ บ่อดิน ตู้กระจก อ่างปลา ฯลฯ ที่มีระดับความ
ลึกพอประมาณ (20-40 เซนติเมตร) ถ้าพ่อแม่พันธุ์ปลามีขนาด 3-4 นิ้ว ปล่อยตารางเมตรละ 4-6 ตัว
ยกเว้นพ่อแม่ปลาทองบางพันธุ์ที่มีขนาดใหญ่กว่าปกติ จำเป็นต้องเลี้ยงในบ่อที่ใหญ่ขึ้นด้วย กรณีที่ม
ีการเลี้ยงในบ่อที่มีการแยกของเสียและตะกอนออกไปตลอดเวลา ความหนาแน่นอาจเพิ่มเป็น 10 - 20
ตัว (ขนาด 3-4 นิ้ว) / 1 ตารางเมตร
ทำเลที่เหมาะสมในการสร้างบ่อพ่อแม่พันธุ์ปลาทอง คือ บริเวณที่แสงแดดส่องได้บ้างในเวลา
เช้าหรือเย็น หากเป็นที่โล่งแจ้งต้องทำหลังคาหรือร่มเงาให้ส่องแสงลงได้เพียง 40-60%
บ่อที่ได้รับแสงแดดที่พอเหมาะจะสามารถควบคุมการเจริญเติบโตของตะไคร่น้ำและแพลงก์ตอนพืช
(Phytoplankton) ให้อยู่ในปริมาณที่พอดีทำให้น้ำในบ่อใสสะอาดอยู่เสมอ เหมาะกับความเป็นอยู่
ของปลาและจะช่วยให้ปลามีสีสันสวยขึ้นด้วย ในทางตรงข้ามหากแสงสว่างส่องมากเกินไป จะทำให้
ตะไคร่น้ำและแพลงก์ตอนพืช เจริญเร็วมากเกินต้องการ น้ำจะเขียวจัดและเป็นเหตุให้ออกซิเจนที่ละลาย
อยู่ในน้ำเปลี่ยนแปลงเร็วมากในรอบวัน ซึ่งเป็นอุปสรรค ต่อความสมบูรณ์ทางเพศของปลา นอกจากนี้
แสงแดดจะทำให้อุณหภูมิของน้ำเปลี่ยนแปลงเร็วเกินไปด้วย หากเลี้ยงปลาทองไว้ในบ้านแสงสว่างจาก
หลอดไฟฟ้า ที่ส่องลงในตู้โดยตรง สามารถใช้ทดแทนแสงแดดได้เช่นกัน แต่ความสมบูรณ์ทางเพศ
ของปลาจะไม่ดีเท่ากับเลี้ยงไว้นอกบ้าน เนื่องจากปลาเลี้ยงในตู้จะตื่นตกใจง่ายทำให้การพัฒนาของไข่
ชะงักไป บ่อหรือภาชนะที่ใช้เลี้ยงพ่อแม่ปลาทองจำเป็นต้องมีวัสดุคลุมเพื่อป้องกันศัตรูปลา เช่น แมว
งู นก เป็นต้น ทั้งนี้เพราะปลาทองเป็นปลาที่ว่ายน้ำเชื่องช้า และชอบกินอาหารบริเวณผิวน้ำ เป็นการ
เปิดโอกาสให้ศัตรูทำร้ายได้ง่าย (วัสดุคลุมปิดควรมีความโปร่งแสงเพื่อให้แสงแดดส่องถึงและอากาศ
ถ่ายเทได้ ปกตินิยมทำด้วยตาข่ายพลาสติกกรองแสง)
น้ำที่ใช้เลี้ยงปลาทอง ควรเป็นน้ำที่สะอาด มีความเป็นกรด - ด่าง (pH) 6.8-7.5 มีปริมาณออกซิเจน
ละลายในน้ำไม่ต่ำกว่า 5 มิลลิกรัม/ลิตร จึงจำเป็นต้องมีระบบเพิ่มออกซิเจนในบ่อเลี้ยงพ่อแม่พันธุ์ตลอด
เวลา ความกระด้าง (Hardness) 75-100 มิลลิกรัม/ลิตร และความเป็นด่าง (Alkalinity)150 - 200
มิลลิกรัม/ลิตร
ระดับความลึกของน้ำที่เหมาะสมคือ 30-40 เซนติเมตร การเลี้ยงปลาทองในบ่อที่มีระดับน้ำสูงเกิน
ไปมักจะทำให้ปลาทองเสียการทรงตัวได้ง่าย โดยเฉพาะสายพันธุ์หัวสิงห์ ต้องมีการถ่ายเทน้ำบ่อยหรือ
ทุก ๆ วัน โดยดูดน้ำเก่าทิ้งไป 25% ของน้ำทั้งหมดแล้ว เติมน้ำใหม่ลงไปให้มีปริมาณเท่าเดิม ควรแยก
เลี้ยงปลาที่จะนำมาเป็นพ่อแม่พันธุ์ไว้คนละบ่อ เพื่อให้ปลามีความสมบูรณ์แข็งแรงจริง ๆ
ในช่วงที่ปลากำลังฟิตตัวเพื่อเตรียมผสมพันธุ์ไม่ควรให้อาหารมากเกินไปจะทำให้ปลาอ้วน และไม่
ควรเลี้ยงพ่อแม่ปลาทองจำนวนมาก ๆ ในบ่อเดียวกัน เนื่องจากปลาทองเกือบทุกพันธุ์เป็นปลาที่ค่อนข้าง
อ่อนแอ มีลักษณะลำตัว หัวและครีบบอบบางอาจฉีกขาดหรือเป็นแผลและเสียการทรงตัวได้ง่าย อีกทั้ง
ปลาทองเป็นปลาที่กินอาหารมากและรวดเร็ว หากเลี้ยงปลารวมกันเป็นจำนวนมากตัวที่กินอาหารช้ากว่า
จะแย่งอาหารไม่ทัน ทำให้มีการเจริญเติบโตและความสมบูรณ์ทางเพศช้า ไม่สามารถเป็นพ่อแม่พันธุ์ได้
ตามกำหนด และไม่ควรเลี้ยงพ่อแม่พันธุ์ปลาทองหลายสายพันธุ์ในบ่อเดียวกัน นอกจากอุปนิสัยที่แตกต่าง
กันจะทำให้เป็นอุปสรรคของความสมบูรณ์เพศแล้ว อาจเกิดการผสมข้ามพันธุ์โดยบังเอิญทำให้ได้ลูก
ปลาที่มีลักษณะที่ตลาดไม่ต้องการ
ตามปกติพ่อแม่พันธุ์ปลาทองสามารถผสมพันธุ์วางไข่ได้เกือบตลอดปี ยกเว้นในช่วงอุณหภูมิลดต่ำ
กว่าปกติอย่างมาก ซึ่งในระยะนี้ปลาจะกินอาหารน้อยลงทำให้ความสมบูรณ์ทางเพศลดลงและชะงัก
การผสมพันธุ์ หากสามารถควบคุมอุณหภูมิของน้ำได้โดยการใช้เครื่องเพิ่มอุณหภูมิในน้ำ (Heater)
โดยให้น้ำมีอุณหภูมิไม่ต่ำกว่า 25 องศาเซลเซียสตลอดเวลา พ่อแม่พันธุ์ปลาทองก็จะสามารถวางไข่ได้
ตลอดทั้งปี สำหรับแม่ปลาตัวหนึ่ง ๆ นั้นจะสามารถวางไข่ได้ทุกระยะประมาณ 2-4 สัปดาห์/ครั้ง
การคัดเพศปลาทอง การสังเกตเพศปลานับเป็นสิ่งสำคัญในการเลี้ยงปลาทอง โดยปกติความ
แตกต่างระหว่างเพศของปลาทองจะเริ่มปรากฏให้เห็น เมื่อปลามีอายุประมาณ 2-4 เดือนขึ้นไปโดยจะ
สามารถสังเกตเห็นได้จากลักษณะภายนอก ซึ่งปลาทองตัวผู้และตัวเมียจะมีลักษณะที่แตกต่างกันอย่าง
เห็นได้ชัด ดังตารางและ ภาพที่ 38-40
การเลี้ยงปลาทองเพื่อให้ได้ลูกปลาที่มีคุณภาพดีและปริมาณมากจำเป็นต้องมีการคัดเลือกพ่อแม่
พันธุ์ที่มีความสมบูรณ์ซึ่งมีเทคนิคในการเตรียมพ่อแม่พันธุ์ปลา ดังนี้
การคัดเลือกพ่อแม่พันธุ์ การเลี้ยงปลาทองจะประสบผลสำเร็จต่อเมื่อคุณภาพดีของลูกปลามีลักษณะ
ตรงตามที่ตลาดต้องการ การคัดเลือกพ่อแม่พันธุ์จึงนับเป็นปัจจัยสำคัญมากในการเพาะเลี้ยงปลาทอง
เพราะลูกปลาจะมีคุณภาพดีดีหรือไม่ขึ้นอยู่กับลักษณะที่พ่อแม่พันธุ์ถ่ายทอดมายังลูกหลานซึ่งมีหลักเกณฑ์
ในการพิจารณาคัดเลือกพ่อแม่พันธุ์ ดังนี้
+ ไม่ควรเลือกพ่อแม่พันธุ์ครอกเดียวกันมาทำการผสมพันธุ์ เพราะอาจได้ลุกปลาที่มีลักษณะด้อย โตช้า
อ่อนแอหรือมีความผิดปกติ เนื่องจากการผสมปลาในครอกเดียวกัน เป็นการผสมเลือดชิด (Inbreeding)
+ ควรเลือกพ่อแม่พันธุ์ที่ยังมีอายุไม่มากนัก (อายุไม่เกิน 2 ปี) เพราะปลารุ่นมีความปราดเปรียว วางไข่
ได้ครั้งละมาก ๆ น้ำเชื้อมีความแข็งแรงสมบูรณ์ พ่อแม่พันธุ์ต้องอยู่ในสภาพพร้อมผสมพันธุ์ได้จริง
+ เลือกพ่อแม่พันธุ์ที่มีลักษณะดี ไม่พิการ มีสีสันเข้ม เด่นชัด มีความแข็งแรงปราดเปรียว และมีขนาด
ใหญ่ปานกลางเป็นปลาที่เลี้ยงง่ายเติบโตเร็ว
การเลี้ยงพ่อแม่พันธุ์ปลา หลังจากที่มีการคัดเลือกพ่อแม่พันธุ์แล้ว การเลี้ยงพ่อแม่พันธุ์ก็นับเป็นสิ่ง
สำคัญในการเพาะพันธุ์ปลา หากพ่อแม่พันธุ์มีความสมบูรณ์ทางเพศเต็มที่แล้ว จะสามารถเพาะพันธุ์
ได้โดยง่าย ปลาจะผสมพันธุ์และวางไข่ได้เอง ตามธรรมชาติ ปลาทองที่จะนำมาเป็นพ่อแม่พันธุ์ควร
มีอายุประมาณ 5-6 เดือนขึ้นไป ถ้าอายุน้อยจะทำให้ลูกปลาที่ได้พิการเป็นส่วนมาก การเลี้ยงปลาทอง
เพื่อให้เป็นพ่อแม่พันธุ์สามารถเลี้ยงได้ทั้งในบ่อซีเมนต์ บ่อดิน ตู้กระจก อ่างปลา ฯลฯ ที่มีระดับความ
ลึกพอประมาณ (20-40 เซนติเมตร) ถ้าพ่อแม่พันธุ์ปลามีขนาด 3-4 นิ้ว ปล่อยตารางเมตรละ 4-6 ตัว
ยกเว้นพ่อแม่ปลาทองบางพันธุ์ที่มีขนาดใหญ่กว่าปกติ จำเป็นต้องเลี้ยงในบ่อที่ใหญ่ขึ้นด้วย กรณีที่ม
ีการเลี้ยงในบ่อที่มีการแยกของเสียและตะกอนออกไปตลอดเวลา ความหนาแน่นอาจเพิ่มเป็น 10 - 20
ตัว (ขนาด 3-4 นิ้ว) / 1 ตารางเมตร
ทำเลที่เหมาะสมในการสร้างบ่อพ่อแม่พันธุ์ปลาทอง คือ บริเวณที่แสงแดดส่องได้บ้างในเวลา
เช้าหรือเย็น หากเป็นที่โล่งแจ้งต้องทำหลังคาหรือร่มเงาให้ส่องแสงลงได้เพียง 40-60%
บ่อที่ได้รับแสงแดดที่พอเหมาะจะสามารถควบคุมการเจริญเติบโตของตะไคร่น้ำและแพลงก์ตอนพืช
(Phytoplankton) ให้อยู่ในปริมาณที่พอดีทำให้น้ำในบ่อใสสะอาดอยู่เสมอ เหมาะกับความเป็นอยู่
ของปลาและจะช่วยให้ปลามีสีสันสวยขึ้นด้วย ในทางตรงข้ามหากแสงสว่างส่องมากเกินไป จะทำให้
ตะไคร่น้ำและแพลงก์ตอนพืช เจริญเร็วมากเกินต้องการ น้ำจะเขียวจัดและเป็นเหตุให้ออกซิเจนที่ละลาย
อยู่ในน้ำเปลี่ยนแปลงเร็วมากในรอบวัน ซึ่งเป็นอุปสรรค ต่อความสมบูรณ์ทางเพศของปลา นอกจากนี้
แสงแดดจะทำให้อุณหภูมิของน้ำเปลี่ยนแปลงเร็วเกินไปด้วย หากเลี้ยงปลาทองไว้ในบ้านแสงสว่างจาก
หลอดไฟฟ้า ที่ส่องลงในตู้โดยตรง สามารถใช้ทดแทนแสงแดดได้เช่นกัน แต่ความสมบูรณ์ทางเพศ
ของปลาจะไม่ดีเท่ากับเลี้ยงไว้นอกบ้าน เนื่องจากปลาเลี้ยงในตู้จะตื่นตกใจง่ายทำให้การพัฒนาของไข่
ชะงักไป บ่อหรือภาชนะที่ใช้เลี้ยงพ่อแม่ปลาทองจำเป็นต้องมีวัสดุคลุมเพื่อป้องกันศัตรูปลา เช่น แมว
งู นก เป็นต้น ทั้งนี้เพราะปลาทองเป็นปลาที่ว่ายน้ำเชื่องช้า และชอบกินอาหารบริเวณผิวน้ำ เป็นการ
เปิดโอกาสให้ศัตรูทำร้ายได้ง่าย (วัสดุคลุมปิดควรมีความโปร่งแสงเพื่อให้แสงแดดส่องถึงและอากาศ
ถ่ายเทได้ ปกตินิยมทำด้วยตาข่ายพลาสติกกรองแสง)
น้ำที่ใช้เลี้ยงปลาทอง ควรเป็นน้ำที่สะอาด มีความเป็นกรด - ด่าง (pH) 6.8-7.5 มีปริมาณออกซิเจน
ละลายในน้ำไม่ต่ำกว่า 5 มิลลิกรัม/ลิตร จึงจำเป็นต้องมีระบบเพิ่มออกซิเจนในบ่อเลี้ยงพ่อแม่พันธุ์ตลอด
เวลา ความกระด้าง (Hardness) 75-100 มิลลิกรัม/ลิตร และความเป็นด่าง (Alkalinity)150 - 200
มิลลิกรัม/ลิตร
ระดับความลึกของน้ำที่เหมาะสมคือ 30-40 เซนติเมตร การเลี้ยงปลาทองในบ่อที่มีระดับน้ำสูงเกิน
ไปมักจะทำให้ปลาทองเสียการทรงตัวได้ง่าย โดยเฉพาะสายพันธุ์หัวสิงห์ ต้องมีการถ่ายเทน้ำบ่อยหรือ
ทุก ๆ วัน โดยดูดน้ำเก่าทิ้งไป 25% ของน้ำทั้งหมดแล้ว เติมน้ำใหม่ลงไปให้มีปริมาณเท่าเดิม ควรแยก
เลี้ยงปลาที่จะนำมาเป็นพ่อแม่พันธุ์ไว้คนละบ่อ เพื่อให้ปลามีความสมบูรณ์แข็งแรงจริง ๆ
ในช่วงที่ปลากำลังฟิตตัวเพื่อเตรียมผสมพันธุ์ไม่ควรให้อาหารมากเกินไปจะทำให้ปลาอ้วน และไม่
ควรเลี้ยงพ่อแม่ปลาทองจำนวนมาก ๆ ในบ่อเดียวกัน เนื่องจากปลาทองเกือบทุกพันธุ์เป็นปลาที่ค่อนข้าง
อ่อนแอ มีลักษณะลำตัว หัวและครีบบอบบางอาจฉีกขาดหรือเป็นแผลและเสียการทรงตัวได้ง่าย อีกทั้ง
ปลาทองเป็นปลาที่กินอาหารมากและรวดเร็ว หากเลี้ยงปลารวมกันเป็นจำนวนมากตัวที่กินอาหารช้ากว่า
จะแย่งอาหารไม่ทัน ทำให้มีการเจริญเติบโตและความสมบูรณ์ทางเพศช้า ไม่สามารถเป็นพ่อแม่พันธุ์ได้
ตามกำหนด และไม่ควรเลี้ยงพ่อแม่พันธุ์ปลาทองหลายสายพันธุ์ในบ่อเดียวกัน นอกจากอุปนิสัยที่แตกต่าง
กันจะทำให้เป็นอุปสรรคของความสมบูรณ์เพศแล้ว อาจเกิดการผสมข้ามพันธุ์โดยบังเอิญทำให้ได้ลูก
ปลาที่มีลักษณะที่ตลาดไม่ต้องการ
ตามปกติพ่อแม่พันธุ์ปลาทองสามารถผสมพันธุ์วางไข่ได้เกือบตลอดปี ยกเว้นในช่วงอุณหภูมิลดต่ำ
กว่าปกติอย่างมาก ซึ่งในระยะนี้ปลาจะกินอาหารน้อยลงทำให้ความสมบูรณ์ทางเพศลดลงและชะงัก
การผสมพันธุ์ หากสามารถควบคุมอุณหภูมิของน้ำได้โดยการใช้เครื่องเพิ่มอุณหภูมิในน้ำ (Heater)
โดยให้น้ำมีอุณหภูมิไม่ต่ำกว่า 25 องศาเซลเซียสตลอดเวลา พ่อแม่พันธุ์ปลาทองก็จะสามารถวางไข่ได้
ตลอดทั้งปี สำหรับแม่ปลาตัวหนึ่ง ๆ นั้นจะสามารถวางไข่ได้ทุกระยะประมาณ 2-4 สัปดาห์/ครั้ง
การคัดเพศปลาทอง การสังเกตเพศปลานับเป็นสิ่งสำคัญในการเลี้ยงปลาทอง โดยปกติความ
แตกต่างระหว่างเพศของปลาทองจะเริ่มปรากฏให้เห็น เมื่อปลามีอายุประมาณ 2-4 เดือนขึ้นไปโดยจะ
สามารถสังเกตเห็นได้จากลักษณะภายนอก ซึ่งปลาทองตัวผู้และตัวเมียจะมีลักษณะที่แตกต่างกันอย่าง
เห็นได้ชัด ดังตารางและ ภาพที่ 38-40
foodสำหรับการเลี้ยงปลาทอง
foodธรรมชาติ ถึงแม้ปลาทองจะเป็นปลาที่กินได้ทั้งพืชและสัตว์เป็นfood (Omnivorous)
แต่ในธรรมชาติชอบกินfoodพวกลูกน้ำ ไรแดง (Moina) ไรสีน้ำตาล (Artemia) หนอนแดง และ
ไส้เดือนน้ำ foodมีชีวิตเหล่านี้มีคุณค่าทางfoodสูงทำให้ปลาโตเร็วมีความสมบูรณ์ทางเพศดี
เหมาะสมต่อการเลี้ยงพ่อแม่พันธุ์ปลาทอง โดยให้วันละ 2-3 ครั้ง foodธรรมชาติจะให้ในสภาพ
ที่มีชีวิตหรือตายแล้วก็ได้ หากเป็นfoodที่ตายแล้วต้องให้ปริมาณที่พอเหมาะ ถ้ามีfoodเหลือต้อง
รีบดูดทิ้งทันที เนื่องจากfoodที่เหลือจะทำให้น้ำเน่าเสียและเกิดโรคได้
ปัจจุบันเกษตรกรในจังหวัดนครปฐมและราชบุรีได้เพาะการเลี้ยงปลาทองโดยใช้หนอนแมลงวันหรือ
หนอนขี้หมูขาว ซึ่งเกิดในบริเวณเล้าหมู เรียกว่า หนอนขี้หมู นำมาเลี้ยงปลาใช้เป็นfoodสำหรับการเลี้ยงปลาทอง
ขนาดอายุ 1-2 เดือนขึ้นไป แต่ในการเลี้ยงพ่อแม่พันธุ์ปลาควรระวังอย่าให้กินหนอนขี้หมูมาก เพราะ
จะทำให้ปลาอ้วนเกินไปซึ่งมีผลทำให้ปริมาณไข่ที่ออกน้อย
ข้อควรระวัง ก่อนนำหนอนขี้หมูมาเป็นfoodจะต้องนำมาล้างน้ำให้สะอาดและแช่ด่างทับทิมใน
อัตราส่วน 2-3 กรัม/น้ำ 1,000 ลิตร หรือต้มเพื่อป้องกันเชื้อโรค
ผลดีของfoodมีชีวิต
+ สัตว์น้ำจะมีเอนไซม์ช่วยย่อย ซึ่งสัตว์น้ำสามารถย่อยและกินได้ตลอดเวลา
+ foodมีชีวิตมีองค์ประกอบของกรดอะมิโนอิสระที่สำคัญ ซึ่งจะช่วยให้เกิดความเจริญเติบโต
+ มีสารสีต่าง ๆ (Pigment) ตามธรรมชาติ ช่วยในการป้องกันและสร้างภูมิต้านทานโรคซึ่งปลา
ไม่สามารถสังเคราะห์เองตามธรรมชาติ
+ มีราคาต่ำเมื่อเทียบกับfoodเม็ดสำเร็จรูป
foodสำเร็จรูป ได้แก่ foodเม็ดขนาดเล็กเป็นfoodที่เหมาะสำหรับการการเลี้ยงปลาทอง และ
ควรเลือกfoodที่มีเปอร์เซ็นต์โปรตีนสูงจะทำให้ปลาเจริญเติบโตดีและมีสีสันสวยงามโดยทั่วไป
ส่วนประกอบของfoodสำเร็จรูปควรประกอบด้วย โปรตีน 40เปอร์เซน คาร์โบไฮเดรต 44เปอร์เซน ไขมัน
10เปอร์เซน วิตามินและแร่ธาตุ 6เปอร์เซน
ส่วนประกอบของfoodที่มีปริมาณโปรตีนต่ำจะทำให้ปลาโตช้าหรือชะงักการเจริญเติบโต
และมีความสมบูรณ์ทางเพศน้อยหรือถ้าfoodมีปริมาณโปรตีนมากเกินไป ปลาก็จะขับถ่ายของเสีย
ออกมามากทำให้น้ำมีปริมาณแอมโมเนียสูงซึ่งเป็นพิษต่อปลา
: ลูกปลาขนาดเล็ก (ต่ำกว่า 1 นิ้ว) มีความต้องการโปรตีน ประมาณ 60 - 80เปอร์เซน เพื่อการเจริญเติบโต
: ปลาวัยรุ่นจะมีความต้องการโปรตีนประมาณ 40 - 60เปอร์เซน เพื่อให้เกิดความสมบูรณ์ทางเพศทำให้
ไข่พัฒนา
: ปลาเต็มวัยจะมีความต้องการโปรตีนประมาณ 30 - 40เปอร์เซน
การให้food ควรให้วันละ 3 -5 เปอร์เซน ของน้ำหนักปลา เช่น ปลาทั้งหมด น้ำหนัก 500 กรัม จะให้
foodเม็ดวันละ 15 - 25 กรัม โดยแบ่งให้เช้าเย็นหรือจะใช้foodผสมแทน โดยใช้foodที่มีส่วน
ผสมของปลาป่น รำละเอียด กากถั่วป่น วิตามินและแร่ธาตุซึ่งกำหนดให้มีปริมาณโปรตีนไม่ต่ำกว่า40เปอร์เซน
foodสำเร็จรูปมีข้อดีกว่าfoodธรรมชาติหลายประการได้แก่ สามารถควบคุมคุณภาพให้เป็นไป
ตามมาตรฐาน ความสม่ำเสมอและความคงทนในขณะที่ละลายน้ำ แต่foodสำเร็จรูปจะทำให้น้ำ
เสียง่าย ขนาดของfoodสำเร็จรูปสามารถปรับให้เข้ากับการเจริญเติบโตของลูกปลา เมื่อปลามี
ขนาดใหญ่สามารถ ปรับขนาดได้ ขนาด วัสดุfoodและกลิ่นของfoodเป็นปัจจัยสำคัญในการทำ
food
วิธีการให้foodสำเร็จรูปมีข้อควรพิจารณาในการให้food ดังนี้
+ ปริมาณfoodที่ให้ ไม่มากเกินไป ปลาควรกินหมดภายใน 15 นาที
+ ความถี่ หลักการให้foodควรจะให้ปริมาณน้อยแต่บ่อยครั้งทั้งนี้ควรให้วันละ 2 -3 ครั้งถ้า
เลี้ยงด้วยfoodสำเร็จรูปควรมีการเสริมfoodมีชีวิต
+ การยอมรับfood บางครั้งพบว่า ปลาไม่ยอมรับfoodที่ไม่เคยกินมาก่อน จึงจำเป็นต้องฝึกให้กิน
โดยอาจต้องให้ปลาอดfood 1 - 2 วัน และลองให้กินfoodใหม่อีกครั้ง แล้วสังเกตว่าปลายอมกิน
foodหรือไม่
+ การเลือกชนิดและปริมาณของfood ควรต้องคำนึงถึงระบบการเปลี่ยนถ่ายน้ำในบ่อเลี้ยง
+ foodเร่งสี สีของตัวปลาเกิดจากการทำงานของเซลล์ผิวหนังซึ่งมีเม็ดสีอยู่ภายใน เม็ดสีที่อยู่ใน
ชั้นของผิวหนังสีแดงหรือสีเหลืองของปลาทองเป็นสีของคาร์โรทินอยล์ชนิดแอสทาแซนธิน
(Astaxanthin) คือถ้าในเซลล์ผิวหนังมีคาร์โรทินอยล์มากเท่าไร ย่อมทำให้ปลามีสีสดขึ้น
ดังนั้นในปัจจุบันจะมีการใช้สารเร่งสี (แอสทาแซนธิน) ให้ปลากินเพื่อให้ปลามีลำตัวสีแดง และ
มีการใช้สไปรูไรน่า (Spirulina) ผสมกับfoodเลี้ยงปลาเพื่อเพิ่มความเข้มของสีแดง ส้ม หรือสี
เหลือง ในตัวปลา ปกติfoodสำเร็จรูปส่วนมากจะมีสไปรูไรน่าผสมอยู่ในอัตราส่วนไม่เกิน 10เปอร์เซน
foodที่ผสมสารเร่งสีจะใช้เลี้ยงปลาที่มีอายุประมาณ 3 สัปดาห์ โดยให้กินในมื้อเช้า ส่วนมื้อเย็น
จะให้กินfoodมีชีวิต ในกรณีที่การเลี้ยงปลาทองในบริเวณที่มีแสงแดดเพียงพอไม่จำเป็นต้องให้
foodเร่งสี
foodธรรมชาติ ถึงแม้ปลาทองจะเป็นปลาที่กินได้ทั้งพืชและสัตว์เป็นfood (Omnivorous)
แต่ในธรรมชาติชอบกินfoodพวกลูกน้ำ ไรแดง (Moina) ไรสีน้ำตาล (Artemia) หนอนแดง และ
ไส้เดือนน้ำ foodมีชีวิตเหล่านี้มีคุณค่าทางfoodสูงทำให้ปลาโตเร็วมีความสมบูรณ์ทางเพศดี
เหมาะสมต่อการเลี้ยงพ่อแม่พันธุ์ปลาทอง โดยให้วันละ 2-3 ครั้ง foodธรรมชาติจะให้ในสภาพ
ที่มีชีวิตหรือตายแล้วก็ได้ หากเป็นfoodที่ตายแล้วต้องให้ปริมาณที่พอเหมาะ ถ้ามีfoodเหลือต้อง
รีบดูดทิ้งทันที เนื่องจากfoodที่เหลือจะทำให้น้ำเน่าเสียและเกิดโรคได้
ปัจจุบันเกษตรกรในจังหวัดนครปฐมและราชบุรีได้เพาะการเลี้ยงปลาทองโดยใช้หนอนแมลงวันหรือ
หนอนขี้หมูขาว ซึ่งเกิดในบริเวณเล้าหมู เรียกว่า หนอนขี้หมู นำมาเลี้ยงปลาใช้เป็นfoodสำหรับการเลี้ยงปลาทอง
ขนาดอายุ 1-2 เดือนขึ้นไป แต่ในการเลี้ยงพ่อแม่พันธุ์ปลาควรระวังอย่าให้กินหนอนขี้หมูมาก เพราะ
จะทำให้ปลาอ้วนเกินไปซึ่งมีผลทำให้ปริมาณไข่ที่ออกน้อย
ข้อควรระวัง ก่อนนำหนอนขี้หมูมาเป็นfoodจะต้องนำมาล้างน้ำให้สะอาดและแช่ด่างทับทิมใน
อัตราส่วน 2-3 กรัม/น้ำ 1,000 ลิตร หรือต้มเพื่อป้องกันเชื้อโรค
ผลดีของfoodมีชีวิต
+ สัตว์น้ำจะมีเอนไซม์ช่วยย่อย ซึ่งสัตว์น้ำสามารถย่อยและกินได้ตลอดเวลา
+ foodมีชีวิตมีองค์ประกอบของกรดอะมิโนอิสระที่สำคัญ ซึ่งจะช่วยให้เกิดความเจริญเติบโต
+ มีสารสีต่าง ๆ (Pigment) ตามธรรมชาติ ช่วยในการป้องกันและสร้างภูมิต้านทานโรคซึ่งปลา
ไม่สามารถสังเคราะห์เองตามธรรมชาติ
+ มีราคาต่ำเมื่อเทียบกับfoodเม็ดสำเร็จรูป
foodสำเร็จรูป ได้แก่ foodเม็ดขนาดเล็กเป็นfoodที่เหมาะสำหรับการการเลี้ยงปลาทอง และ
ควรเลือกfoodที่มีเปอร์เซ็นต์โปรตีนสูงจะทำให้ปลาเจริญเติบโตดีและมีสีสันสวยงามโดยทั่วไป
ส่วนประกอบของfoodสำเร็จรูปควรประกอบด้วย โปรตีน 40เปอร์เซน คาร์โบไฮเดรต 44เปอร์เซน ไขมัน
10เปอร์เซน วิตามินและแร่ธาตุ 6เปอร์เซน
ส่วนประกอบของfoodที่มีปริมาณโปรตีนต่ำจะทำให้ปลาโตช้าหรือชะงักการเจริญเติบโต
และมีความสมบูรณ์ทางเพศน้อยหรือถ้าfoodมีปริมาณโปรตีนมากเกินไป ปลาก็จะขับถ่ายของเสีย
ออกมามากทำให้น้ำมีปริมาณแอมโมเนียสูงซึ่งเป็นพิษต่อปลา
: ลูกปลาขนาดเล็ก (ต่ำกว่า 1 นิ้ว) มีความต้องการโปรตีน ประมาณ 60 - 80เปอร์เซน เพื่อการเจริญเติบโต
: ปลาวัยรุ่นจะมีความต้องการโปรตีนประมาณ 40 - 60เปอร์เซน เพื่อให้เกิดความสมบูรณ์ทางเพศทำให้
ไข่พัฒนา
: ปลาเต็มวัยจะมีความต้องการโปรตีนประมาณ 30 - 40เปอร์เซน
การให้food ควรให้วันละ 3 -5 เปอร์เซน ของน้ำหนักปลา เช่น ปลาทั้งหมด น้ำหนัก 500 กรัม จะให้
foodเม็ดวันละ 15 - 25 กรัม โดยแบ่งให้เช้าเย็นหรือจะใช้foodผสมแทน โดยใช้foodที่มีส่วน
ผสมของปลาป่น รำละเอียด กากถั่วป่น วิตามินและแร่ธาตุซึ่งกำหนดให้มีปริมาณโปรตีนไม่ต่ำกว่า40เปอร์เซน
foodสำเร็จรูปมีข้อดีกว่าfoodธรรมชาติหลายประการได้แก่ สามารถควบคุมคุณภาพให้เป็นไป
ตามมาตรฐาน ความสม่ำเสมอและความคงทนในขณะที่ละลายน้ำ แต่foodสำเร็จรูปจะทำให้น้ำ
เสียง่าย ขนาดของfoodสำเร็จรูปสามารถปรับให้เข้ากับการเจริญเติบโตของลูกปลา เมื่อปลามี
ขนาดใหญ่สามารถ ปรับขนาดได้ ขนาด วัสดุfoodและกลิ่นของfoodเป็นปัจจัยสำคัญในการทำ
food
วิธีการให้foodสำเร็จรูปมีข้อควรพิจารณาในการให้food ดังนี้
+ ปริมาณfoodที่ให้ ไม่มากเกินไป ปลาควรกินหมดภายใน 15 นาที
+ ความถี่ หลักการให้foodควรจะให้ปริมาณน้อยแต่บ่อยครั้งทั้งนี้ควรให้วันละ 2 -3 ครั้งถ้า
เลี้ยงด้วยfoodสำเร็จรูปควรมีการเสริมfoodมีชีวิต
+ การยอมรับfood บางครั้งพบว่า ปลาไม่ยอมรับfoodที่ไม่เคยกินมาก่อน จึงจำเป็นต้องฝึกให้กิน
โดยอาจต้องให้ปลาอดfood 1 - 2 วัน และลองให้กินfoodใหม่อีกครั้ง แล้วสังเกตว่าปลายอมกิน
foodหรือไม่
+ การเลือกชนิดและปริมาณของfood ควรต้องคำนึงถึงระบบการเปลี่ยนถ่ายน้ำในบ่อเลี้ยง
+ foodเร่งสี สีของตัวปลาเกิดจากการทำงานของเซลล์ผิวหนังซึ่งมีเม็ดสีอยู่ภายใน เม็ดสีที่อยู่ใน
ชั้นของผิวหนังสีแดงหรือสีเหลืองของปลาทองเป็นสีของคาร์โรทินอยล์ชนิดแอสทาแซนธิน
(Astaxanthin) คือถ้าในเซลล์ผิวหนังมีคาร์โรทินอยล์มากเท่าไร ย่อมทำให้ปลามีสีสดขึ้น
ดังนั้นในปัจจุบันจะมีการใช้สารเร่งสี (แอสทาแซนธิน) ให้ปลากินเพื่อให้ปลามีลำตัวสีแดง และ
มีการใช้สไปรูไรน่า (Spirulina) ผสมกับfoodเลี้ยงปลาเพื่อเพิ่มความเข้มของสีแดง ส้ม หรือสี
เหลือง ในตัวปลา ปกติfoodสำเร็จรูปส่วนมากจะมีสไปรูไรน่าผสมอยู่ในอัตราส่วนไม่เกิน 10เปอร์เซน
foodที่ผสมสารเร่งสีจะใช้เลี้ยงปลาที่มีอายุประมาณ 3 สัปดาห์ โดยให้กินในมื้อเช้า ส่วนมื้อเย็น
จะให้กินfoodมีชีวิต ในกรณีที่การเลี้ยงปลาทองในบริเวณที่มีแสงแดดเพียงพอไม่จำเป็นต้องให้
foodเร่งสี

บ่อหรือภาชนะที่ใช้ในการเลี้ยงปลาทอง
ตู้ปลาปลาทอง ในกรณีที่มีตู้ปลาปลาทองเก่า อาจใช้สำหรับอนุบาลลูกปลา เลี้ยงพ่อแม่พันธุ์หรือเพาะพันธุ์ได้ แต่ถ้า
เป็นการลงทุนใหม่ไม่ควรซื้อตู้ปลาปลาทองเพราะต้นทุนสูง
อ่างซีเมนต์ เป็นอ่างซีเมนต์ขนาดเล็ก อาจซื้อสำเร็จรูปหรือทำขึ้นเอง เป็นอ่างสี่เหลี่ยมขนาด
ประมาณ60 x 80 cm และมีความลึกประมาณ 20 - 25 cm หรือเป็นบ่อซีเมนต์
กลมเส้นผ่าศูนย์กลาง ประมาณ 80 -120 cm และมีระดับความลึกประมาณ 25 - 30
cm เหมาะสำหรับอนุบาลลูกปลาหรือนำมาใช้เลี้ยงปลา ที่คัดขนาดแล้วหรือจะใช้เพาะพันธุ์
ก็ได้
บ่อซีเมนต์ โดยปกติจะนิยมสร้างให้มีขนาดกว้าง x ยาว เท่ากับ 2 x 2 หรือ 2 x 3 เมตรบ่อ
ชนิดนี้เหมาะสำหรับการเลี้ยงพ่อแม่พันธุ์ เพาะพันธ ุ์ และเลี้ยงลูกปลาได้ทุกขนาดบ่อซีเมนต์ทุก
ประเภทก่อนที่จะนำมาใช้ต้องมีการสร้างทำความสะอาดแช่น้ำไว้ประมาณ 1 สัปดาห์ แล้วถ่าย
น้ำทิ้งเพื่อล้างและกำจัดปูนซีเมนต์ออกให้หมด
การสร้างบ่อปลาต้องคำนึงถึงระบบการกำจัดของเสียเป็นสำคัญ โดยการสร้างให้มีความ
ลาดเอียง เพื่อให้ของเสียและตะกอนไหลมารวมกันในพื้นที่ที่เป็นที่ต่ำ และสร้างท่อระบายน้ำออก
ตรงบริเวณนั้น โดยมีตะแกรงครอบบริเวณฝาท่ออีกที เมื่อถ่ายน้ำก็ดึงฝาครอบท่อออก ของเสียและ
ตะกอนต่าง ๆ จะไหลปนไปกับน้ำ ซึ่งมีตะแกรงทำหน้าที่ป้องกันลูกปลาไหลออกมาเวลาระบายน้ำ
ถ้าเป็นบ่อขนาดเล็กนิยมที่สร้างท่อระบายน้ำออกไว้ตรงกลาง แต่ถ้าเป็นบ่อขนาดใหญ่จะสร้างไว้
บริเวณด้านข้างเพื่อความสะดวกในการเปิดปิดท่อระบายออกเวลาเปลี่ยนถ่ายน้ำ วิธีการสร้างบ่อ
ลักษณะนี้ จะทำให้ประหยัดแรงงานและปริมาณน้ำมากกว่าการสร้างบ่อที่ไม่มีความลาดเอียงและ
ไม่มีท่อระบายน้ำออก
นอกจากบ่อและภาชนะรูปแบบต่าง ๆ ที่กล่าวมาแล้วอาจสร้างบ่อหรืออ่างในรูปแบบอื่น ๆ ก็ได้
เพื่อเป็นการประหยัดต้นทุน เช่น ทำจากผ้าใบโดยมีโครงไม้โครงเหล็ก หรือปูแผ่นพลาสติกบนบ่อ
ที่ยกขอบด้วยอิฐบล๊อก เป็นต้น
แค่นี้ก็เสร็จสิ้นสำหรับการสร้างที่สำหรับการเลี้ยงปลาทอง
แหล่งน้ำที่นำมาใช้การเลี้ยงปลาทอง
น้ำเป็นปัจจัยหนึ่งที่สำคัญมากในการเลี้ยงปลา เพราะมีผลต่อปลาโดยตรง เช่น คุณภาพน้ำที่
เหมาะสมจะทำให้ปลาเจริญเติบโตเร็ว ปลาไม่เกิดความเครียด สุขภาพดี แข็งแรงมีความต้านทานต่อ
โรคได้ดี น้ำที่ใช้ในการเพาะเลี้ยงที่ได้จากแหล่งต่าง ๆย่อมมีคุณสมบัติต่างกัน ดังนั้นการเลือกสถานที่
ในการทำฟาร์ม ก็ควรคำนึงถึงแหล่งน้ำและคุณสมบัติน้ำเป็นปัจจัยต้น ๆ
น้ำที่ใช้การเลี้ยงปลาทอง สามารถนำมาจากแหล่งต่าง ๆ ดังนี้
น้ำที่ได้จากลำคลอง หนอง บึง จะมีตะกอนดินและแร่ธาตุจากดิน และหินละลายในน้ำ
รวมทั้งจุลินทรีย์และปรสิตปะปนมาควรนำน้ำจากแหล่งนี้ไปปรับปรุงคุณภาพก่อนนำไปเลี้ยงปลา
โดยใส่น้ำในบ่อพักเติมปูนขาว เพื่อช่วยในการตกตะกอนให้เร็วขึ้น ฆ่าเชื้อโรคและปรับความเป็น
กรด- ด่าง (pH) พักน้ำไว้ประมาณ 1 - 2 วัน ก็จะสามารถสูบน้ำไปใช้ได้
น้ำบาดาล เป็นน้ำที่สูบจากใต้ดิน มีแร่ธาตุละลายปนมา เช่น สนิมเหล็ก น้ำจะมีกลิ่นแร่ธาตุ
กลิ่นโคลนและมีปริมาณออกซิเจนต่ำซึ่งแก้ไขโดยนำน้ำมาพักทิ้งไว้เพื่อช่วยเพิ่มปริมาณออกซิเจนในน้ำ
น้ำบาดาลที่ได้จากแหล่งน้ำใต้ดินที่มีคุณสมบัติเหมาะสมกับการเพาะเลี้ยงปลา จัดเป็นแหล่งน้ำที่ดีเพราะ
มีเชื้อโรคปนเปื้อนต่ำและสามารถใช้ได้ตลอดฤดูกาล
น้ำประปา น้ำประปาเป็นน้ำที่สะอาดและมีคุณสมบัติเหมาะสมนำมาใช้เลี้ยงสัตว์น้ำได้ดี เนื่องจากน้ำ
ประปาผ่านการบำบัดและการกรองหลายขั้นตอน ปราศจากเชื้อโรค แต่มีราคาแพงและมีปัญหาเรื่อง
ปริมาณคลอรีนที่หลงเหลืออยู่ในน้ำ ซึ่งวิธีการกำจัดคลอรีนสามารถดำเนินการได้ดังนี้
- พักน้ำไว้ 2-3 วันหรือพักไว้ในที่แจ้งตากแดดตลอดเวลา 24 ชั่วโมงคลอรีนจะแตกตัวระเหยไปกับ
อากาศ
- ใช้กรองด้วยถ่านคาร์บอน (Ativated carbon)
- ถ้าต้องการใช้น้ำเลี้ยงปลาทันที สามารถเติมโซเดียม ไธโอซัลเฟต อัตรา 1 เกล็ดต่อน้ำ 5 ลิตร
น้ำเป็นปัจจัยหนึ่งที่สำคัญมากในการเลี้ยงปลา เพราะมีผลต่อปลาโดยตรง เช่น คุณภาพน้ำที่
เหมาะสมจะทำให้ปลาเจริญเติบโตเร็ว ปลาไม่เกิดความเครียด สุขภาพดี แข็งแรงมีความต้านทานต่อ
โรคได้ดี น้ำที่ใช้ในการเพาะเลี้ยงที่ได้จากแหล่งต่าง ๆย่อมมีคุณสมบัติต่างกัน ดังนั้นการเลือกสถานที่
ในการทำฟาร์ม ก็ควรคำนึงถึงแหล่งน้ำและคุณสมบัติน้ำเป็นปัจจัยต้น ๆ
น้ำที่ใช้การเลี้ยงปลาทอง สามารถนำมาจากแหล่งต่าง ๆ ดังนี้
น้ำที่ได้จากลำคลอง หนอง บึง จะมีตะกอนดินและแร่ธาตุจากดิน และหินละลายในน้ำ
รวมทั้งจุลินทรีย์และปรสิตปะปนมาควรนำน้ำจากแหล่งนี้ไปปรับปรุงคุณภาพก่อนนำไปเลี้ยงปลา
โดยใส่น้ำในบ่อพักเติมปูนขาว เพื่อช่วยในการตกตะกอนให้เร็วขึ้น ฆ่าเชื้อโรคและปรับความเป็น
กรด- ด่าง (pH) พักน้ำไว้ประมาณ 1 - 2 วัน ก็จะสามารถสูบน้ำไปใช้ได้
น้ำบาดาล เป็นน้ำที่สูบจากใต้ดิน มีแร่ธาตุละลายปนมา เช่น สนิมเหล็ก น้ำจะมีกลิ่นแร่ธาตุ
กลิ่นโคลนและมีปริมาณออกซิเจนต่ำซึ่งแก้ไขโดยนำน้ำมาพักทิ้งไว้เพื่อช่วยเพิ่มปริมาณออกซิเจนในน้ำ
น้ำบาดาลที่ได้จากแหล่งน้ำใต้ดินที่มีคุณสมบัติเหมาะสมกับการเพาะเลี้ยงปลา จัดเป็นแหล่งน้ำที่ดีเพราะ
มีเชื้อโรคปนเปื้อนต่ำและสามารถใช้ได้ตลอดฤดูกาล
น้ำประปา น้ำประปาเป็นน้ำที่สะอาดและมีคุณสมบัติเหมาะสมนำมาใช้เลี้ยงสัตว์น้ำได้ดี เนื่องจากน้ำ
ประปาผ่านการบำบัดและการกรองหลายขั้นตอน ปราศจากเชื้อโรค แต่มีราคาแพงและมีปัญหาเรื่อง
ปริมาณคลอรีนที่หลงเหลืออยู่ในน้ำ ซึ่งวิธีการกำจัดคลอรีนสามารถดำเนินการได้ดังนี้
- พักน้ำไว้ 2-3 วันหรือพักไว้ในที่แจ้งตากแดดตลอดเวลา 24 ชั่วโมงคลอรีนจะแตกตัวระเหยไปกับ
อากาศ
- ใช้กรองด้วยถ่านคาร์บอน (Ativated carbon)
- ถ้าต้องการใช้น้ำเลี้ยงปลาทันที สามารถเติมโซเดียม ไธโอซัลเฟต อัตรา 1 เกล็ดต่อน้ำ 5 ลิตร
การเลี้ยงปลาทอง
การเลี้ยงปลาทองให้ประสบความสำเร็จ จะต้องมีการเลี้ยงพ่อแม่พันธุ์ปลาให้มีไข่และน้ำเชื้อ
สมบูรณ์ การจัดเตรียมบ่อและวัสดุอุปกรณ์ต่าง ๆ ที่ใช้ในการเลี้ยงปลาทอง มีขั้นตอนในการผสมพันธุ์
การฟักไข่และอนุบาลลูกปลา ฯลฯ ซึ่งจะได้กล่าวถึงรายละเอียดต่าง ๆ ดังต่อไปนี้
การคัดเลือกสถานที่เพื่อเลี้ยงปลาทอง
การเลี้ยงปลาทองจะต้องหาทำเลที่เหมาะสม โดยยึดหลักเกณฑ์ดังนี้
+ ไม่เป็นที่อับแสงแดด หรือมีแสงแดดมากเกินไป เพราะถ้าเป็นที่อับอากาศ หรืออับแสงจะทำให้ปลา
สีซีดไม่แข็งแรง และหากแสงมากเกินไป จะมีผลในการดูแลความสะอาดเพราะน้ำเขียวเร็ว เนื่องจาก
แสงแดดทำให้ตะไคร่น้ำเติบโตเร็ว หากบ่ออยู่ในที่โล่งแจ้งควรใช้ตาข่ายกรองแสงสว่างประมาณ 60%
+ ไม่สมควรอยู่ใกล้แหล่งสารเคมีที่มีพิษ
โดยเฉพาะถ้าใช้น้ำจากแหล่งน้ำที่ไหลผ่านโรงงานอุตสาหกรรมที่มีการปนเปื้อนสารพิษคุณภาพ
น้ำที่ใช้เลี้ยงจะมีการเปลี่ยนแปลงมากในรอบปี สำหรับหน้าแล้งอาจเกิดสภาวะขาดน้ำ หรือน้ำเสียจาก
โรงงานเป็นอันตรายต่อชีวิตสัตว์น้ำได้
+ ไม่เป็นที่มีเสียงอึกทึกครึกโครมหรือเสียงรบกวน ทำให้ปลาตกใจเป็นประจำ จะส่งผลถึงการกิน
อาหารของปลา และการเคลื่อนไหวร่างกายอาจผิดปกติได้
+ บ่อไม่สมควรอยู่ตรงชายคาที่มีน้ำตกพอดี เพราะน้ำฝนที่มี่คุณสมบัติเป็นกรดจะทำให้น้ำในบ่อเลี้ยงปลา
มีคุณสมบัติเปลี่ยนไป มีผลให้ปลาอ่อนแอติดโรคได้ง่าย
+ ไม่เป็นที่ที่มีศัตรูของปลาหรือมีใบไม้ร่วง เป็นสาเหตุให้น้ำเน่าหากมีศัตรูปลา เช่น นกหรือแมว ควร
จะหาวัสดุป้องกัน เช่น ตาข่ายกั้นรอบบริเวณที่เพาะเลี้ยง
+ ควรเป็นสถานที่ที่มีที่กำบังลมและแสงแดด เพื่อป้องกันการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิกระทันหัน โดยเฉพาะ
ในฤดูหนาว
+ ควรสร้างบ่อให้มีความลาดเอียง เพื่อให้สะดวกต่อการเปลี่ยนถ่ายน้ำโดยสามารถระบายน้ำได้หมด
ทั้งยังสะดวกในการทำความสะอาด ตากบ่อ และการกำจัดเชื้อโรค
+ สร้างระบบน้ำ โดยมีท่อน้ำเข้า ท่อระบายน้ำออก ระบบเพิ่มอากาศที่มีประสิทธิภาพและมีอุปกรณ์สำรอง
เพื่อป้องกันภาวะฉุกเฉินกรณีไฟฟ้าดับ
+ ควรกำจัดพาหะที่อาจนำโรคมาสู่ปลา พาหะที่สามารถมองเห็นได้จากบริเวณสถานที่เลี้ยง เช่น คางคก
หรือลูกหอยตัวเล็ก ๆ
การเลี้ยงปลาทองให้ประสบความสำเร็จ จะต้องมีการเลี้ยงพ่อแม่พันธุ์ปลาให้มีไข่และน้ำเชื้อ
สมบูรณ์ การจัดเตรียมบ่อและวัสดุอุปกรณ์ต่าง ๆ ที่ใช้ในการเลี้ยงปลาทอง มีขั้นตอนในการผสมพันธุ์
การฟักไข่และอนุบาลลูกปลา ฯลฯ ซึ่งจะได้กล่าวถึงรายละเอียดต่าง ๆ ดังต่อไปนี้
การคัดเลือกสถานที่เพื่อเลี้ยงปลาทอง
การเลี้ยงปลาทองจะต้องหาทำเลที่เหมาะสม โดยยึดหลักเกณฑ์ดังนี้
+ ไม่เป็นที่อับแสงแดด หรือมีแสงแดดมากเกินไป เพราะถ้าเป็นที่อับอากาศ หรืออับแสงจะทำให้ปลา
สีซีดไม่แข็งแรง และหากแสงมากเกินไป จะมีผลในการดูแลความสะอาดเพราะน้ำเขียวเร็ว เนื่องจาก
แสงแดดทำให้ตะไคร่น้ำเติบโตเร็ว หากบ่ออยู่ในที่โล่งแจ้งควรใช้ตาข่ายกรองแสงสว่างประมาณ 60%
+ ไม่สมควรอยู่ใกล้แหล่งสารเคมีที่มีพิษ
โดยเฉพาะถ้าใช้น้ำจากแหล่งน้ำที่ไหลผ่านโรงงานอุตสาหกรรมที่มีการปนเปื้อนสารพิษคุณภาพ
น้ำที่ใช้เลี้ยงจะมีการเปลี่ยนแปลงมากในรอบปี สำหรับหน้าแล้งอาจเกิดสภาวะขาดน้ำ หรือน้ำเสียจาก
โรงงานเป็นอันตรายต่อชีวิตสัตว์น้ำได้
+ ไม่เป็นที่มีเสียงอึกทึกครึกโครมหรือเสียงรบกวน ทำให้ปลาตกใจเป็นประจำ จะส่งผลถึงการกิน
อาหารของปลา และการเคลื่อนไหวร่างกายอาจผิดปกติได้
+ บ่อไม่สมควรอยู่ตรงชายคาที่มีน้ำตกพอดี เพราะน้ำฝนที่มี่คุณสมบัติเป็นกรดจะทำให้น้ำในบ่อเลี้ยงปลา
มีคุณสมบัติเปลี่ยนไป มีผลให้ปลาอ่อนแอติดโรคได้ง่าย
+ ไม่เป็นที่ที่มีศัตรูของปลาหรือมีใบไม้ร่วง เป็นสาเหตุให้น้ำเน่าหากมีศัตรูปลา เช่น นกหรือแมว ควร
จะหาวัสดุป้องกัน เช่น ตาข่ายกั้นรอบบริเวณที่เพาะเลี้ยง
+ ควรเป็นสถานที่ที่มีที่กำบังลมและแสงแดด เพื่อป้องกันการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิกระทันหัน โดยเฉพาะ
ในฤดูหนาว
+ ควรสร้างบ่อให้มีความลาดเอียง เพื่อให้สะดวกต่อการเปลี่ยนถ่ายน้ำโดยสามารถระบายน้ำได้หมด
ทั้งยังสะดวกในการทำความสะอาด ตากบ่อ และการกำจัดเชื้อโรค
+ สร้างระบบน้ำ โดยมีท่อน้ำเข้า ท่อระบายน้ำออก ระบบเพิ่มอากาศที่มีประสิทธิภาพและมีอุปกรณ์สำรอง
เพื่อป้องกันภาวะฉุกเฉินกรณีไฟฟ้าดับ
+ ควรกำจัดพาหะที่อาจนำโรคมาสู่ปลา พาหะที่สามารถมองเห็นได้จากบริเวณสถานที่เลี้ยง เช่น คางคก
หรือลูกหอยตัวเล็ก ๆ
ปลาทองสายพันธุ์ต่าง ๆๆ
ดังที่ได้กล่าวมาแล้วว่า ปลาทองมีความหลากหลายในสายพันธุ์ทำให้เป็นที่ต้องการของนักเลี้ยงปลาทั้ง
ในประเทศไทยและนอกประเทศ ปัจจุบันมีสายพันธุ์ปลาทองเยอะกว่า 100 สายพันธุ์ การตั้งชื่อปลาทองแต่
ละสายพันธุ์นั้นจะตั้งชื่อตามลักษณะลำตัวและลักษณะครีบ ซึ่งเราสามารถแบ่งเป็นกลุ่มใหญ่ ๆ ได้ 2
กลุ่มดังนี้
พวกที่มีลำตัวแบนยาว (Flat body type) ปลาในกลุ่มนี้ส่วนมาก มีลำตัวแบนข้างและมีครีบหาง
เดี่ยว ยกเว้นปลาทองวากิงซึ่งมีครีบหางคู่ ปลาในกลุ่มนี้จะว่ายน้ำได้ปราดเปรียวและรวดเร็วมาก เลี้ยงง่าย
ทนทานต่อสภาพแวดล้อม มีความแข็งแรงมากที่สุดในบรรดากลุ่มปลาทองทั้งหมด เจริญเติบโตเร็ว
เหมาะที่จะเลี้ยงในบ่อ สายพันธุ์ที่ต้องการเลี้ยงได้แก่
+ การเลี้ยงปลาทองธรรมดา (Common goldfish) มีลักษณะเหมือนปลาทองที่พบในแหล่งน้ำธรรมชาติ
มีสีส้ม เขียว ทอง และขาว มีจุดหรือลายสีดำ ลำตัวค่อนข้างยาว และแบนข้าง
+ การเลี้ยงปลาทองโคเมท (Comet goldfish) ปลาทองชนิดนี้พัฒนามาจาก Common goldfish มี
ครีบยาวเรียวออกไป โดยเฉพาะครีบหาง ซึ่งอาจจะมีความยาวเยอะกว่า เศษสามส่วนสี่ หรือหนึ่งเท่า
ของความยาวลำตัวทำให้ว่ายน้ำได้รวดเร็วมาก เป็นปลาที่เลี้ยงง่าย ลำตัวมีสีส้ม ขาวเงิน และเหลือง เป็น
ปลาที่ได้รับความต้องการมากในสหรัฐอเมริกา
+ การเลี้ยงปลาทองชูบุงกิง (Shubunkin) ปลาทองสายพันธุ์นี้คัดพันธุ์ได้ที่ประเทศญี่ปุ่น มีลำตัวเรียวยาว
คล้ายการเลี้ยงปลาทองธรรมดา แต่มีครีบทุกครีบยาวใหญ่สมบูรณ์กว่าปลาทองพันธุ์ธรรมดามาก ปลายครีบ
หางมนกลม ลำตัวอาจมีสีแดง ส้ม ขาว ขาวและแดง หรืออาจมีหลายสี มี 2 สายพันธุ์ คือ london
shubunkin และ Bristol shubunkin สายพันธุ์ Bristol shubunkin จะมีครีบหางใหญ่กว่า
ชนิด London shubunkin
+ ปลาทองวากิง (Wakin) ปลาทองพันธุ์นี้คัดพันธุ์ได้ที่ประเทศจีน ลำตัวมีสีแดงสดใส และสีขาว
สายพันธุ์นี้จัดอยู่ในกลุ่มที่มีลำตัวแบนยาวแต่มีครีบหางเป็นคู่
พวกที่มีลำตัวกลมหรือรูปไข่ (Round หรือ egg-shaped body type) ปลาในกลุ่มนี้มี
จำนวนมากแบ่งเป็นหลายสายพันธุ์ มีลักษณะครีบ หัวและนัยน์ตาที่แตกต่างกันหลากหลาย ซึ่งสามารถ
แบ่งเป็นกลุ่มย่อยได้ 2 กลุ่ม โดยพิจารณาจากลักษณะครีบดังนี้
* พวกที่มีครีบหลัง มีลำตัวสั้น มีครีบยาวและครีบหางเป็นคู่ เช่น
+ ปลาทองริวกิ้น (Ryukin)
เป็นปลาที่ต้องการเลี้ยงกันแพร่หลายทั้งในประเทศไทยและนอกประเทศโดยเฉพาะประเทศญี่ปุ่น
เนื่องจากเป็นปลาที่มีรูปร่างและสีสันสวยงาม มีท่วงท่าการว่ายน้ำที่สง่างาม ลักษณะเด่น คือ ลำตัว
ด้านข้างกว้างและสั้น ส่วนท้องอ้วนกลม มองจากด้านหน้าโหนกหลังสูงขึ้นมากทำให้ส่วนหัวแลดูเล็ก
ครีบหลังใหญ่ยาวและตั้งขึ้น ครีบหาง เว้าลึกยาวเป็นพวง ทำให้มีชื่อเรียกต่าง ๆๆ กันอีกหลายชื่อ เช่น
Veiltail และ fantail เป็นต้น เกล็ดหนา สีที่พบมากมีทั้งสีแดง ขาว ขาว-แดง และส้ม หรือมีห้าสี
คือ แดง ส้ม ดำ ขาว ฟ้า ซึ่งในบ้าน เราต้องการเรียกว่า ริวกิ้นห้าสี
+ ปลาทองออแรนดา (Oranda)
ปลาพันธุ์นี้เกิดจากการผสมพันธุ์ระหว่างพันธุ์หัวสิงห์และพันธุ์ริวกิ้น อาจเรียกว่า Fantail lion
head ปลาทองพันธุ์ออแรนดา (Oranda) จะมีลักษณะลำตัวค่อนข้างยาวกว่าปลาทองพันธุ์หัวสิงห์
และริวกิ้น ลำตัวคล้ายรูปไข่หรือรูปรี ส่วนท้องไม่ป่องมาก ครีบทุกครีบยาวใหญ่โดยเฉพาะครีบหาง
จะยาวแผ่ห้อยสวยงามมาก ปลาทองพันธุ์นี้แบ่งเป็นพันธุ์ย่อย ๆ ได้อีก ตามลักษณะหัวและสีได้แก่
+ ออแรนดาธรรมดา มีลำตัวค่อนข้างยาวรี หัวไม่มีวุ้น ครีบทุกครีบยาวมาก
+ ออแรนดาหัววุ้น ลำตัวและหางไม่ยาวเท่าออแรนดาธรรมดา แต่บริเวณหัวจะมีวุ้นคลุมอยู่คล้ายกับ
หัวปลาทองพันธุ์หัวสิงห์แต่วุ้นจะไม่ปกคลุมส่วนของหัวทั้งหมด จะมีวุ้นเฉพาะตรงกลางของส่วน
หัวเท่านั้น และวุ้นที่ดีจะต้องมีลักษณะเป็นรูปสี่เหลี่ยมเมื่อมองจากด้านบน
+ ออแรนดาหัวแดง (Red cap oranda) คือ ออแรนดาหัววุ้นนั่นเองแต่จะมีวุ้นบนหัวเป็นสีแดง
และลำตัวมีสีขาวภาษาญี่ปุ่นเรียกว่า ตันโจ มีลักษณะลำตัวสีขาวเงิน วุ้นบนหัวเป็นก้อนกลมสีแดง
คล้ายปลาสวมหมวกสีแดง
+ ออแรนดาห้าสี (Calico oranda) ลักษณะเหมือนออแรนดาหัววุ้นทั่วไป แต่มีสีลำตัว 5 สี คือ
ฟ้า ดำ ขาว แดง ส้ม
+ ออแรนดาหางพวง (Vailtail) ลักษณะครีบหางจะยาวเป็นพวง ครีบหลังพริ้วยาว ที่หัวมีวุ้นน้อย
หรือไม่มีเลย ส่วนของลำตัวใหญ่สั้น ท้องกลม แต่ส่วนหลังแบนข้างเล็กน้อย บริเวณโหนกหลังสูงชัน
มาก ทำให้ส่วนหัวดูแหลมเล็ก ครีบหลังใหญ่ยาวและตั้งสูง ครีบหางเว้าลึกเป็นพวง
+ ปลาทองเกล็ดแก้ว (Pearl scales goldfish)
ปลาทองพันธุ์เกล็ดแก้ว มีลำตัวอ้วนกลมสั้น ส่วนท้องป่องออกมาทั้ง 2 ด้าน เมื่อมอง
ด้านบนจะเห็นเป็นรูปทรงกลม หัวมีขนาดเล็ก ปากแหลม มีลักษณะเด่นที่เกล็ดคือ เกล็ดหนามาก และ
นูนขึ้นมาเห็นเป็นเม็ดกลม ๆ ซึ่งเกิดจากเกล็ดที่มีสารพวกกัวอานิน (guanine) มากนั่นเอง ลักษณะ
เกล็ดที่ดีต้องขึ้นครบนูนสม่ำเสมอและเรียงกันอย่างมีระเบียบ ครีบทุกครีบรวมทั้งหางสั้นและต้อง
กางแผ่ออกไม่หุบเข้าหรืองอ สีที่ต้องการได้แก่ สีแดง ส้ม เหลือง ดำ ขาว ขาวแดง ปลาชนิดนี้เลี้ยงยาก
ปลาทองเกล็ดแก้วที่ต้องการเลี้ยงในประเทศไทยมี 3 สายพันธุ์ ได้แก่ เกล็ดแก้ว หัวมงกุฎ เกล็ดแก้วหน้า
หนู และเกล็ดแก้วหัววุ้น
+ ปลาทองตาโปน (Telescope eyes goldfish)
มีลักษณะลำตัวสั้น และส่วนท้องกลมคล้าย ๆ กับพันธุ์ริวกิ้น มีลักษณะเด่นที่ตาทั้งสองข้าง
โดยตาจะยื่นโปนออกมาด้านข้างเห็นได้เด่นชัด ถือกันว่าตายิ่งโปนมากยิ่งเป็นลักษณะที่ดี และ
เมื่อมองจากด้านบนจะต้องมีลักษณะกลมยื่นออกมาเท่ากันทั้งตาซ้ายและตาขวา ครีบทุกครีบและ
หางจะต้องแผ่กว้าง ปลายไม่หุบเข้า หรืองอไปทางด้านใดด้านหนึ่ง ครีบที่เป็นครีบคู่จะต้องเท่ากัน
และชี้ไปในทิศทางเดียวกัน (ขนานกัน) ปลาทองพันธุ์นี้ยังแบ่งออกเป็นพันธุ์ย่อย ๆ ได้อีกตามลักษณะ
สีบนลำตัวและครีบ ได้แก่
+ ปลาทองตาโปนสีแดง หรือขาวแดง (Red telescope-eyes goldfish) ลำตัวและครีบจะ
ต้องมีสีแดงเข้ม หรืออาจมีสีขาวสลับสีแดง และสีขาวจะต้องขาวบริสุทธิ์ไม่อมเหลือง จึงจะถือว่าเป็น
ลักษณะที่ดี
+ ปลาทองตาโปน 3 สี หรือ 5 สี (Calico telescope-eyes goldfish) ลำตัวและครีบมีหลาย
สีในปลาตัวเดียวกัน
+ ปลาทองพันธุ์เล่ห์ (Black telescope-eyes goldfish หรือ Black moor) ซึ่งได้แก่
ปลาทองที่เรียกว่า รักเล่ห์ หรือเล่ห์นั่นเอง ลักษณะที่ดีของปลาพันธุ์นี้คือ ลำตัวและครีบจะต้องดำสนิท
และไม่เปลี่ยนสีไปจนตลอดชีวิต
+ ปลาทองแพนด้า (Panda)
ปลาทองสายพันธุ์นี้ต้องการมากในประเทศจีน เป็นปลาทองพันธุ์เล่ห์ที่ได้มีการลอกสีที่ลำตัวจนกลาย
เป็นสีขาวหรือสีเงิน ส่วนครีบต่าง ๆๆ จะมีสีดำมีลักษณะคล้ายหมีแพนด้า ซึ่งสายพันธุ์นี้จะมีลักษณะ
ไม่คงที่เพราะมีการลอกสีไปเรื่อย ๆ
+ ปลาทองปอมปอน (Pompon)
ประเทศญี่ปุ่น เป็นประเทศแรกที่เพาะพันธุ์ได้ มีลักษณะลำตัวสั้น มองจากด้านบนจะมีลักษณะเป็น
รูปสี่เหลี่ยมคล้ายปลาทองหัวสิงห์แต่แตกต่างกันตรงส่วนหัว โดยผนังกั้นจมูกของปลาทองปอมปอน
จะขยายเจริญเติบโตออกมาข้างนอกเป็นพู่ 2 ข้างทำให้แลดูแปลกตาออกไป มีช่วงลำตัวยาวและเพรียว
กว่าปลาทองหัวสิงห์สายพันธุ์อื่น ๆ ปลาทองปอมปอนที่ต้องการมากที่สุดคือพันธุ์สีแดงไม่มีครีบหลัง
สายพันธุ์ปอมปอนแบ่งออกเป็นปอมปอนหัวสิงห์ ปอมปอนออแรนดา ปลาทองสายพันธุ์นี้บ้านเราไม่ค่อย
ได้รับความต้องการแพร่หลายมากเท่าใดนัก สาเหตุอาจเป็นเพราะปลาสายพันธุ์นี้โดยมากมีทรวดทรง
ที่ไม่สวยงามเท่าปลาทองหัวสิงห์สายพันธุ์อื่นขณะเดียวกันเป็นปลาที่แพร่พันธุ์ได้ยาก และปลาที่เพาะ
พันธุ์ได้โดยมากเป็นปลาพิการเสียเป็นส่วนใหญ่ ดังนั้นจึงทำให้ปลาชนิดนี้ไม่ค่อยเป็นที่ต้องการในหมู่นัก
เพาะพันธุ์ปลาระดับมืออาชีพ เนื่องจากเพาะแล้วไม่ค่อยคุ้ม
* พวกที่ไม่มีครีบหลัง มีรูปร่างกลมและไม่มีครีบหลังปลาทองในกลุ่มนี้จะว่ายน้ำได้ไม่ดี เทียบเท่า
กับกลุ่มที่มีครีบหลังได้แก่
+ ปลาทองหัวสิงห์จีน (Chinese lion head)
จีนเป็นประเทศแรกที่เพาะพันธุ์ปลาทองสายพันธุ์นี้ ชาวตะวันตกเรียกปลาทองสายพันธุ์นี้ว่า
Lionhead ในประเทศไทยเรียกว่า ปลาทองหัวสิงห์จีน (Chinese lionhead) ลักษณะโดย
ทั่วไปจะมองคล้ายสิงห์ญี่ปุ่นแต่ลำตัวค่อนข้างยาวไม่สั้นกลมอย่างสิงห์ญี่ปุ่น และส่วนหลังก็จะโค้ง
น้อยกว่าสิงห์ญี่ปุ่น หางใหญ่ยาวกว่าวุ้นบนหัวจะมีเยอะกว่าสิงห์ญี่ปุ่น วุ้นขึ้นปกคลุมส่วนหัวทั้งหมด
และวุ้นที่ดีจะต้องมีลักษณะเป็นเม็ดละเอียด สีลำตัวและครีบ มักจะมีสีอ่อนกว่าสิงห์ญี่ปุ่น เมื่อโตเต็ม
ที่มีขนาดเฉลี่ยประมาณ 15 เซนติเมตร แต่ก็เคยพบบางตัวมีขนาดใหญ่ถึง 25 เซนติเมตร อายุเฉลี่ย
ประมาณ 5-7 ปี
+ ปลาทองหัวสิงห์ญี่ปุ่น (Ranchu หรือ Japanese lion head)
เป็นปลาทองที่คัดพันธุ์ได้ในประเทศญี่ปุ่น ซึ่งญี่ปุ่นเรียก Ranchu เป็นปลาทองพันธุ์ที่ได้รับ
ความต้องการมากที่สุด ในบรรดาปลาทองหัวสิงห์ ทั้งหมด ราคาค่อนข้างสูง ลักษณะที่ดีของปลาทอง
พันธุ์นี้คือ ลำตัวสั้นค่อนข้างกลม ถ้ามองจากด้านบนท้องทั้งสองด้านจะต้องป่องออกเท่ากัน สันหลัง
โค้งเรียบเป็นรูปไข่ ไม่มีรอยหยักขึ้น ๆ ลง ๆ ไม่มีครีบหลัง ครีบทุกครีบสั้น ครีบคู่ทุกครีบต้องมี
ขนาดเท่ากัน และอยู่ในทิศทางเดียวกัน (ขนานกัน) ครีบหางสั้นและตั้งแข็งแผ่กว้าง วุ้นจะต้องขึ้น
ทั่วทั้งหัว เช่น บริเวณรอบปาก รอบดวงตาและใต้คาง โดยเฉพาะวุ้นใต้คางควรจะมีมากเป็นพิเศษ
จนมองดูจากด้านบนหัวจะมีลักษณะเป็นรูปสี่เหลี่ยม ขณะว่ายน้ำต้องทรงตัวได้ดีและว่ายน้ำใน
ลักษณะหัวก้มต่ำเล็กน้อย สีของปลาทองพันธุ์นี้มีหลายสี เช่น แดง แดงและขาว ส้ม ดำ ขาว และ
ห้าสี สีแดงเป็นสีที่ได้รับความต้องการมาก ปลาชนิดนี้ค่อนข้างอ่อนแอเลี้ยงยาก เนื่องจากการผสมเลือด
ชิด (inbreed) ขนาดโตเต็มที่ประมาณ 20-25 เซนติเมตร
+ ปลาทองหัวสิงห์ลูกผสม (Hybrid lionhead, Ranchu x Chinese lionhead)
ปลาทองสายพันธุ์นี้เป็นลูกผสมเพาะพันธุ์ได้ในประเทศไทย ซึ่งนำจุดเด่นของปลาทองหัว
สิงห์จีนและสิงห์ญี่ปุ่นมารวมกันไว้ในปลาตัวเดียวกัน สาเหตุของการผสมข้ามพันธุ์ เนื่องมาจาก
ปลาทองหัวสิงห์ญี่ปุ่น จะผสมพันธุ์ได้ค่อนข้างยาก ดังนั้นการนำปลาทองหัวสิงห์จีนมาผสมด้วย
จะช่วยให้ปลาแพร่พันธุ์ได้ง่ายและได้จำนวนลูกปลาเพิ่มมากขึ้น ลักษณะเด่นของปลาทองหัวสิงห์
ลูกผสมคือ วุ้นบนหัวของปลาจะมีขนาดปานกลาง ไม่ใหญ่เท่าปลาทองหัวสิงห์จีน แต่ใหญ่กว่า
ปลาทองหัวสิงห์ญี่ปุ่น หลังโค้งมนเยอะกว่าปลาทองหัวสิงห์จีน แต่ไม่โค้งและสั้นเท่าปลาทอง
หัวสิงห์ญี่ปุ่น ครีบหางสั้นกว่าปลาทองหัวสิงห์จีน แต่จะยาวกว่าปลาทองหัวสิงห์ญี่ปุ่น
+ ปลาทองพันธุ์สิงห์ตามิดหรือสิงห์สยาม (Siamese lionhead)
เป็นปลาที่คัดพันธุ์ได้ในประเทศไทย ลักษณะลำตัวทั่ว ๆ ไปคล้ายสิงห์ญี่ปุ่นแต่หัวมีวุ้นเยอะกว่า
วุ้นจะขึ้นคลุมทุก ๆ ส่วนบนหัวแม้กระทั่งส่วนของตาจะมองไม่เห็นเลยจึงทำให้ได้ชื่อว่าสิงห์ตามิด
ครีบหางมีขนาดใหญ่กว่าสิงห์ญี่ปุ่นเล็กน้อย ทุกส่วนของลำตัวต้องดำสนิท
+ ปลาทองพันธุ์ตากลับ (Celestial goldfish)
ปลาทองพันธุ์หัวสิงห์ตากลับ เป็นปลาทองที่มีต้นกำเนิดอยู่ในประเทศจีน ชาวจีนเรียกว่าโชเตนงัน
(Chotengan) ซึ่งมีความหมายว่า ปลาตาดูฟ้าดูดาว หรือตามุ่งสวรรค์ ญี่ปุ่นเรียกปลาชนิดนี้ว่า
เดเมรันชู (Deme- ranchu) ลักษณะเด่นคือ มีตาหงายกลับขึ้นข้างบน ผิดจากปลาทองชนิดอื่น ๆ
ตาใหญ่สดใสทั้งสองข้าง ส่วนหัวไม่มีวุ้นหรือมีเคลือบเล็กน้อย ไม่มีครีบหลัง ลำตัวยาว หลังตรง
หรือโค้งลาดเล็กน้อย ครีบหางยาว
+ ปลาทองพันธุ์ตาลูกโป่ง (Bubble eyes goldfish)
มีลักษณะลำตัวคล้ายพันธุ์หัวสิงห์แต่ค่อนข้างยาวกว่า ไม่มีครีบหลัง ลักษณะเด่นของปลาชนิดนี้คือ
บริเวณใต้ตาจะมีถุงโป่งออกมาลักษณะคล้ายลูกโป่ง และถือกันว่าถุงลูกโป่งยิ่งมีขนาดใหญ่ยิ่งเป็น
ลักษณะที่ดี และถุงทั้งสองข้างจะต้องมีขนาดเท่ากัน ปลาพันธุ์นี้ที่พบมากมีสีแดง ส้ม หรือสีผสม
ระหว่างสีแดงและสีขาว หรือส้มและขาว จัดเป็นปลาที่เลี้ยงยากและเพาะพันธุ์ได้ยาก ขนาดโตเต็ม
ที่ยาวประมาณ 20-25 เซนติเมตร
ดังที่ได้กล่าวมาแล้วว่า ปลาทองมีความหลากหลายในสายพันธุ์ทำให้เป็นที่ต้องการของนักเลี้ยงปลาทั้ง
ในประเทศไทยและนอกประเทศ ปัจจุบันมีสายพันธุ์ปลาทองเยอะกว่า 100 สายพันธุ์ การตั้งชื่อปลาทองแต่
ละสายพันธุ์นั้นจะตั้งชื่อตามลักษณะลำตัวและลักษณะครีบ ซึ่งเราสามารถแบ่งเป็นกลุ่มใหญ่ ๆ ได้ 2
กลุ่มดังนี้
พวกที่มีลำตัวแบนยาว (Flat body type) ปลาในกลุ่มนี้ส่วนมาก มีลำตัวแบนข้างและมีครีบหาง
เดี่ยว ยกเว้นปลาทองวากิงซึ่งมีครีบหางคู่ ปลาในกลุ่มนี้จะว่ายน้ำได้ปราดเปรียวและรวดเร็วมาก เลี้ยงง่าย
ทนทานต่อสภาพแวดล้อม มีความแข็งแรงมากที่สุดในบรรดากลุ่มปลาทองทั้งหมด เจริญเติบโตเร็ว
เหมาะที่จะเลี้ยงในบ่อ สายพันธุ์ที่ต้องการเลี้ยงได้แก่
+ การเลี้ยงปลาทองธรรมดา (Common goldfish) มีลักษณะเหมือนปลาทองที่พบในแหล่งน้ำธรรมชาติ
มีสีส้ม เขียว ทอง และขาว มีจุดหรือลายสีดำ ลำตัวค่อนข้างยาว และแบนข้าง
+ การเลี้ยงปลาทองโคเมท (Comet goldfish) ปลาทองชนิดนี้พัฒนามาจาก Common goldfish มี
ครีบยาวเรียวออกไป โดยเฉพาะครีบหาง ซึ่งอาจจะมีความยาวเยอะกว่า เศษสามส่วนสี่ หรือหนึ่งเท่า
ของความยาวลำตัวทำให้ว่ายน้ำได้รวดเร็วมาก เป็นปลาที่เลี้ยงง่าย ลำตัวมีสีส้ม ขาวเงิน และเหลือง เป็น
ปลาที่ได้รับความต้องการมากในสหรัฐอเมริกา
+ การเลี้ยงปลาทองชูบุงกิง (Shubunkin) ปลาทองสายพันธุ์นี้คัดพันธุ์ได้ที่ประเทศญี่ปุ่น มีลำตัวเรียวยาว
คล้ายการเลี้ยงปลาทองธรรมดา แต่มีครีบทุกครีบยาวใหญ่สมบูรณ์กว่าปลาทองพันธุ์ธรรมดามาก ปลายครีบ
หางมนกลม ลำตัวอาจมีสีแดง ส้ม ขาว ขาวและแดง หรืออาจมีหลายสี มี 2 สายพันธุ์ คือ london
shubunkin และ Bristol shubunkin สายพันธุ์ Bristol shubunkin จะมีครีบหางใหญ่กว่า
ชนิด London shubunkin
+ ปลาทองวากิง (Wakin) ปลาทองพันธุ์นี้คัดพันธุ์ได้ที่ประเทศจีน ลำตัวมีสีแดงสดใส และสีขาว
สายพันธุ์นี้จัดอยู่ในกลุ่มที่มีลำตัวแบนยาวแต่มีครีบหางเป็นคู่
พวกที่มีลำตัวกลมหรือรูปไข่ (Round หรือ egg-shaped body type) ปลาในกลุ่มนี้มี
จำนวนมากแบ่งเป็นหลายสายพันธุ์ มีลักษณะครีบ หัวและนัยน์ตาที่แตกต่างกันหลากหลาย ซึ่งสามารถ
แบ่งเป็นกลุ่มย่อยได้ 2 กลุ่ม โดยพิจารณาจากลักษณะครีบดังนี้
* พวกที่มีครีบหลัง มีลำตัวสั้น มีครีบยาวและครีบหางเป็นคู่ เช่น
+ ปลาทองริวกิ้น (Ryukin)
เป็นปลาที่ต้องการเลี้ยงกันแพร่หลายทั้งในประเทศไทยและนอกประเทศโดยเฉพาะประเทศญี่ปุ่น
เนื่องจากเป็นปลาที่มีรูปร่างและสีสันสวยงาม มีท่วงท่าการว่ายน้ำที่สง่างาม ลักษณะเด่น คือ ลำตัว
ด้านข้างกว้างและสั้น ส่วนท้องอ้วนกลม มองจากด้านหน้าโหนกหลังสูงขึ้นมากทำให้ส่วนหัวแลดูเล็ก
ครีบหลังใหญ่ยาวและตั้งขึ้น ครีบหาง เว้าลึกยาวเป็นพวง ทำให้มีชื่อเรียกต่าง ๆๆ กันอีกหลายชื่อ เช่น
Veiltail และ fantail เป็นต้น เกล็ดหนา สีที่พบมากมีทั้งสีแดง ขาว ขาว-แดง และส้ม หรือมีห้าสี
คือ แดง ส้ม ดำ ขาว ฟ้า ซึ่งในบ้าน เราต้องการเรียกว่า ริวกิ้นห้าสี
+ ปลาทองออแรนดา (Oranda)
ปลาพันธุ์นี้เกิดจากการผสมพันธุ์ระหว่างพันธุ์หัวสิงห์และพันธุ์ริวกิ้น อาจเรียกว่า Fantail lion
head ปลาทองพันธุ์ออแรนดา (Oranda) จะมีลักษณะลำตัวค่อนข้างยาวกว่าปลาทองพันธุ์หัวสิงห์
และริวกิ้น ลำตัวคล้ายรูปไข่หรือรูปรี ส่วนท้องไม่ป่องมาก ครีบทุกครีบยาวใหญ่โดยเฉพาะครีบหาง
จะยาวแผ่ห้อยสวยงามมาก ปลาทองพันธุ์นี้แบ่งเป็นพันธุ์ย่อย ๆ ได้อีก ตามลักษณะหัวและสีได้แก่
+ ออแรนดาธรรมดา มีลำตัวค่อนข้างยาวรี หัวไม่มีวุ้น ครีบทุกครีบยาวมาก
+ ออแรนดาหัววุ้น ลำตัวและหางไม่ยาวเท่าออแรนดาธรรมดา แต่บริเวณหัวจะมีวุ้นคลุมอยู่คล้ายกับ
หัวปลาทองพันธุ์หัวสิงห์แต่วุ้นจะไม่ปกคลุมส่วนของหัวทั้งหมด จะมีวุ้นเฉพาะตรงกลางของส่วน
หัวเท่านั้น และวุ้นที่ดีจะต้องมีลักษณะเป็นรูปสี่เหลี่ยมเมื่อมองจากด้านบน
+ ออแรนดาหัวแดง (Red cap oranda) คือ ออแรนดาหัววุ้นนั่นเองแต่จะมีวุ้นบนหัวเป็นสีแดง
และลำตัวมีสีขาวภาษาญี่ปุ่นเรียกว่า ตันโจ มีลักษณะลำตัวสีขาวเงิน วุ้นบนหัวเป็นก้อนกลมสีแดง
คล้ายปลาสวมหมวกสีแดง
+ ออแรนดาห้าสี (Calico oranda) ลักษณะเหมือนออแรนดาหัววุ้นทั่วไป แต่มีสีลำตัว 5 สี คือ
ฟ้า ดำ ขาว แดง ส้ม
+ ออแรนดาหางพวง (Vailtail) ลักษณะครีบหางจะยาวเป็นพวง ครีบหลังพริ้วยาว ที่หัวมีวุ้นน้อย
หรือไม่มีเลย ส่วนของลำตัวใหญ่สั้น ท้องกลม แต่ส่วนหลังแบนข้างเล็กน้อย บริเวณโหนกหลังสูงชัน
มาก ทำให้ส่วนหัวดูแหลมเล็ก ครีบหลังใหญ่ยาวและตั้งสูง ครีบหางเว้าลึกเป็นพวง
+ ปลาทองเกล็ดแก้ว (Pearl scales goldfish)
ปลาทองพันธุ์เกล็ดแก้ว มีลำตัวอ้วนกลมสั้น ส่วนท้องป่องออกมาทั้ง 2 ด้าน เมื่อมอง
ด้านบนจะเห็นเป็นรูปทรงกลม หัวมีขนาดเล็ก ปากแหลม มีลักษณะเด่นที่เกล็ดคือ เกล็ดหนามาก และ
นูนขึ้นมาเห็นเป็นเม็ดกลม ๆ ซึ่งเกิดจากเกล็ดที่มีสารพวกกัวอานิน (guanine) มากนั่นเอง ลักษณะ
เกล็ดที่ดีต้องขึ้นครบนูนสม่ำเสมอและเรียงกันอย่างมีระเบียบ ครีบทุกครีบรวมทั้งหางสั้นและต้อง
กางแผ่ออกไม่หุบเข้าหรืองอ สีที่ต้องการได้แก่ สีแดง ส้ม เหลือง ดำ ขาว ขาวแดง ปลาชนิดนี้เลี้ยงยาก
ปลาทองเกล็ดแก้วที่ต้องการเลี้ยงในประเทศไทยมี 3 สายพันธุ์ ได้แก่ เกล็ดแก้ว หัวมงกุฎ เกล็ดแก้วหน้า
หนู และเกล็ดแก้วหัววุ้น
+ ปลาทองตาโปน (Telescope eyes goldfish)
มีลักษณะลำตัวสั้น และส่วนท้องกลมคล้าย ๆ กับพันธุ์ริวกิ้น มีลักษณะเด่นที่ตาทั้งสองข้าง
โดยตาจะยื่นโปนออกมาด้านข้างเห็นได้เด่นชัด ถือกันว่าตายิ่งโปนมากยิ่งเป็นลักษณะที่ดี และ
เมื่อมองจากด้านบนจะต้องมีลักษณะกลมยื่นออกมาเท่ากันทั้งตาซ้ายและตาขวา ครีบทุกครีบและ
หางจะต้องแผ่กว้าง ปลายไม่หุบเข้า หรืองอไปทางด้านใดด้านหนึ่ง ครีบที่เป็นครีบคู่จะต้องเท่ากัน
และชี้ไปในทิศทางเดียวกัน (ขนานกัน) ปลาทองพันธุ์นี้ยังแบ่งออกเป็นพันธุ์ย่อย ๆ ได้อีกตามลักษณะ
สีบนลำตัวและครีบ ได้แก่
+ ปลาทองตาโปนสีแดง หรือขาวแดง (Red telescope-eyes goldfish) ลำตัวและครีบจะ
ต้องมีสีแดงเข้ม หรืออาจมีสีขาวสลับสีแดง และสีขาวจะต้องขาวบริสุทธิ์ไม่อมเหลือง จึงจะถือว่าเป็น
ลักษณะที่ดี
+ ปลาทองตาโปน 3 สี หรือ 5 สี (Calico telescope-eyes goldfish) ลำตัวและครีบมีหลาย
สีในปลาตัวเดียวกัน
+ ปลาทองพันธุ์เล่ห์ (Black telescope-eyes goldfish หรือ Black moor) ซึ่งได้แก่
ปลาทองที่เรียกว่า รักเล่ห์ หรือเล่ห์นั่นเอง ลักษณะที่ดีของปลาพันธุ์นี้คือ ลำตัวและครีบจะต้องดำสนิท
และไม่เปลี่ยนสีไปจนตลอดชีวิต
+ ปลาทองแพนด้า (Panda)
ปลาทองสายพันธุ์นี้ต้องการมากในประเทศจีน เป็นปลาทองพันธุ์เล่ห์ที่ได้มีการลอกสีที่ลำตัวจนกลาย
เป็นสีขาวหรือสีเงิน ส่วนครีบต่าง ๆๆ จะมีสีดำมีลักษณะคล้ายหมีแพนด้า ซึ่งสายพันธุ์นี้จะมีลักษณะ
ไม่คงที่เพราะมีการลอกสีไปเรื่อย ๆ
+ ปลาทองปอมปอน (Pompon)
ประเทศญี่ปุ่น เป็นประเทศแรกที่เพาะพันธุ์ได้ มีลักษณะลำตัวสั้น มองจากด้านบนจะมีลักษณะเป็น
รูปสี่เหลี่ยมคล้ายปลาทองหัวสิงห์แต่แตกต่างกันตรงส่วนหัว โดยผนังกั้นจมูกของปลาทองปอมปอน
จะขยายเจริญเติบโตออกมาข้างนอกเป็นพู่ 2 ข้างทำให้แลดูแปลกตาออกไป มีช่วงลำตัวยาวและเพรียว
กว่าปลาทองหัวสิงห์สายพันธุ์อื่น ๆ ปลาทองปอมปอนที่ต้องการมากที่สุดคือพันธุ์สีแดงไม่มีครีบหลัง
สายพันธุ์ปอมปอนแบ่งออกเป็นปอมปอนหัวสิงห์ ปอมปอนออแรนดา ปลาทองสายพันธุ์นี้บ้านเราไม่ค่อย
ได้รับความต้องการแพร่หลายมากเท่าใดนัก สาเหตุอาจเป็นเพราะปลาสายพันธุ์นี้โดยมากมีทรวดทรง
ที่ไม่สวยงามเท่าปลาทองหัวสิงห์สายพันธุ์อื่นขณะเดียวกันเป็นปลาที่แพร่พันธุ์ได้ยาก และปลาที่เพาะ
พันธุ์ได้โดยมากเป็นปลาพิการเสียเป็นส่วนใหญ่ ดังนั้นจึงทำให้ปลาชนิดนี้ไม่ค่อยเป็นที่ต้องการในหมู่นัก
เพาะพันธุ์ปลาระดับมืออาชีพ เนื่องจากเพาะแล้วไม่ค่อยคุ้ม
* พวกที่ไม่มีครีบหลัง มีรูปร่างกลมและไม่มีครีบหลังปลาทองในกลุ่มนี้จะว่ายน้ำได้ไม่ดี เทียบเท่า
กับกลุ่มที่มีครีบหลังได้แก่
+ ปลาทองหัวสิงห์จีน (Chinese lion head)
จีนเป็นประเทศแรกที่เพาะพันธุ์ปลาทองสายพันธุ์นี้ ชาวตะวันตกเรียกปลาทองสายพันธุ์นี้ว่า
Lionhead ในประเทศไทยเรียกว่า ปลาทองหัวสิงห์จีน (Chinese lionhead) ลักษณะโดย
ทั่วไปจะมองคล้ายสิงห์ญี่ปุ่นแต่ลำตัวค่อนข้างยาวไม่สั้นกลมอย่างสิงห์ญี่ปุ่น และส่วนหลังก็จะโค้ง
น้อยกว่าสิงห์ญี่ปุ่น หางใหญ่ยาวกว่าวุ้นบนหัวจะมีเยอะกว่าสิงห์ญี่ปุ่น วุ้นขึ้นปกคลุมส่วนหัวทั้งหมด
และวุ้นที่ดีจะต้องมีลักษณะเป็นเม็ดละเอียด สีลำตัวและครีบ มักจะมีสีอ่อนกว่าสิงห์ญี่ปุ่น เมื่อโตเต็ม
ที่มีขนาดเฉลี่ยประมาณ 15 เซนติเมตร แต่ก็เคยพบบางตัวมีขนาดใหญ่ถึง 25 เซนติเมตร อายุเฉลี่ย
ประมาณ 5-7 ปี
+ ปลาทองหัวสิงห์ญี่ปุ่น (Ranchu หรือ Japanese lion head)
เป็นปลาทองที่คัดพันธุ์ได้ในประเทศญี่ปุ่น ซึ่งญี่ปุ่นเรียก Ranchu เป็นปลาทองพันธุ์ที่ได้รับ
ความต้องการมากที่สุด ในบรรดาปลาทองหัวสิงห์ ทั้งหมด ราคาค่อนข้างสูง ลักษณะที่ดีของปลาทอง
พันธุ์นี้คือ ลำตัวสั้นค่อนข้างกลม ถ้ามองจากด้านบนท้องทั้งสองด้านจะต้องป่องออกเท่ากัน สันหลัง
โค้งเรียบเป็นรูปไข่ ไม่มีรอยหยักขึ้น ๆ ลง ๆ ไม่มีครีบหลัง ครีบทุกครีบสั้น ครีบคู่ทุกครีบต้องมี
ขนาดเท่ากัน และอยู่ในทิศทางเดียวกัน (ขนานกัน) ครีบหางสั้นและตั้งแข็งแผ่กว้าง วุ้นจะต้องขึ้น
ทั่วทั้งหัว เช่น บริเวณรอบปาก รอบดวงตาและใต้คาง โดยเฉพาะวุ้นใต้คางควรจะมีมากเป็นพิเศษ
จนมองดูจากด้านบนหัวจะมีลักษณะเป็นรูปสี่เหลี่ยม ขณะว่ายน้ำต้องทรงตัวได้ดีและว่ายน้ำใน
ลักษณะหัวก้มต่ำเล็กน้อย สีของปลาทองพันธุ์นี้มีหลายสี เช่น แดง แดงและขาว ส้ม ดำ ขาว และ
ห้าสี สีแดงเป็นสีที่ได้รับความต้องการมาก ปลาชนิดนี้ค่อนข้างอ่อนแอเลี้ยงยาก เนื่องจากการผสมเลือด
ชิด (inbreed) ขนาดโตเต็มที่ประมาณ 20-25 เซนติเมตร
+ ปลาทองหัวสิงห์ลูกผสม (Hybrid lionhead, Ranchu x Chinese lionhead)
ปลาทองสายพันธุ์นี้เป็นลูกผสมเพาะพันธุ์ได้ในประเทศไทย ซึ่งนำจุดเด่นของปลาทองหัว
สิงห์จีนและสิงห์ญี่ปุ่นมารวมกันไว้ในปลาตัวเดียวกัน สาเหตุของการผสมข้ามพันธุ์ เนื่องมาจาก
ปลาทองหัวสิงห์ญี่ปุ่น จะผสมพันธุ์ได้ค่อนข้างยาก ดังนั้นการนำปลาทองหัวสิงห์จีนมาผสมด้วย
จะช่วยให้ปลาแพร่พันธุ์ได้ง่ายและได้จำนวนลูกปลาเพิ่มมากขึ้น ลักษณะเด่นของปลาทองหัวสิงห์
ลูกผสมคือ วุ้นบนหัวของปลาจะมีขนาดปานกลาง ไม่ใหญ่เท่าปลาทองหัวสิงห์จีน แต่ใหญ่กว่า
ปลาทองหัวสิงห์ญี่ปุ่น หลังโค้งมนเยอะกว่าปลาทองหัวสิงห์จีน แต่ไม่โค้งและสั้นเท่าปลาทอง
หัวสิงห์ญี่ปุ่น ครีบหางสั้นกว่าปลาทองหัวสิงห์จีน แต่จะยาวกว่าปลาทองหัวสิงห์ญี่ปุ่น
+ ปลาทองพันธุ์สิงห์ตามิดหรือสิงห์สยาม (Siamese lionhead)
เป็นปลาที่คัดพันธุ์ได้ในประเทศไทย ลักษณะลำตัวทั่ว ๆ ไปคล้ายสิงห์ญี่ปุ่นแต่หัวมีวุ้นเยอะกว่า
วุ้นจะขึ้นคลุมทุก ๆ ส่วนบนหัวแม้กระทั่งส่วนของตาจะมองไม่เห็นเลยจึงทำให้ได้ชื่อว่าสิงห์ตามิด
ครีบหางมีขนาดใหญ่กว่าสิงห์ญี่ปุ่นเล็กน้อย ทุกส่วนของลำตัวต้องดำสนิท
+ ปลาทองพันธุ์ตากลับ (Celestial goldfish)
ปลาทองพันธุ์หัวสิงห์ตากลับ เป็นปลาทองที่มีต้นกำเนิดอยู่ในประเทศจีน ชาวจีนเรียกว่าโชเตนงัน
(Chotengan) ซึ่งมีความหมายว่า ปลาตาดูฟ้าดูดาว หรือตามุ่งสวรรค์ ญี่ปุ่นเรียกปลาชนิดนี้ว่า
เดเมรันชู (Deme- ranchu) ลักษณะเด่นคือ มีตาหงายกลับขึ้นข้างบน ผิดจากปลาทองชนิดอื่น ๆ
ตาใหญ่สดใสทั้งสองข้าง ส่วนหัวไม่มีวุ้นหรือมีเคลือบเล็กน้อย ไม่มีครีบหลัง ลำตัวยาว หลังตรง
หรือโค้งลาดเล็กน้อย ครีบหางยาว
+ ปลาทองพันธุ์ตาลูกโป่ง (Bubble eyes goldfish)
มีลักษณะลำตัวคล้ายพันธุ์หัวสิงห์แต่ค่อนข้างยาวกว่า ไม่มีครีบหลัง ลักษณะเด่นของปลาชนิดนี้คือ
บริเวณใต้ตาจะมีถุงโป่งออกมาลักษณะคล้ายลูกโป่ง และถือกันว่าถุงลูกโป่งยิ่งมีขนาดใหญ่ยิ่งเป็น
ลักษณะที่ดี และถุงทั้งสองข้างจะต้องมีขนาดเท่ากัน ปลาพันธุ์นี้ที่พบมากมีสีแดง ส้ม หรือสีผสม
ระหว่างสีแดงและสีขาว หรือส้มและขาว จัดเป็นปลาที่เลี้ยงยากและเพาะพันธุ์ได้ยาก ขนาดโตเต็ม
ที่ยาวประมาณ 20-25 เซนติเมตร
การเลี้ยงปลาทองเสริมบาร
ช่วงนี้ กำลังบ้าเรื่องฮวงจุ้ย ก็เลยเอามาฝากนักการเลี้ยงปลาทองครับ
หลักการเลี้ยงปลาทองตามฮวงจุ้ย
ในสมัยก่อนที่ประเทศจีนคนที่จะเลี้ยงปลาทองได้นั้นจะต้องเป็นเชื้อพระวงศ์,ขุน นาง,พ่อค้าหรือเศรษฐีเพราะปลาทองสมัยนั้นมีราคาแพงมากซึ่งคนธรรมดาไม่สามารถหาซื้อ มาเลี้ยงได้และการเลี้ยงปลาทองนั้นสามารถบ่งบอกถึงฐานะได้ว่าเป็นอย่างไร
ซึ่งเชื่อกันว่าถ้าบ้านเรือนใดเลี้ยงปลาทองอยู่ในบ้านจะเปรียบเสมือนมี ทองอยู่ในบ้านเลยทีเดียวและจะนำความร่มเย็น,โชคลาภ,อำนาจและบารมีมาให้แก่ผู้ที่การเลี้ยงปลาทอง
โดยดังจะกล่าวได้ว่าน้ำคือความร่มเย็นเป็นสุขและการไหลเวียนของน้ำคือการทำ ให้การค้าราบรื่นสุดท้ายคือปลาทองจะนำความมั่งคั่งมาสู่คนเลี้ยง สรุปได้ว่าผู้ใดการเลี้ยงปลาทองไว้ในบ้านจะนำความร่มเย็นเป็นสุขและทำมาค้าขายขึ้น เงินทองไหลมาเทมา อย่างไม่มีที่สิ้นสุด
ในที่นี้จะกล่าวถึงการเลี้ยงปลาทองเพื่อเสริมบารมีตามหลักฮวงจุ้ย ดังต่อไปนี้.
การเลี้ยงปลาทองเสริมบารมีจะมีปัจจัยอยู่ 4 ข้อ
1. ลักษณะของตู้ปลา
2.จำนวนปลาที่เลี้ยง
3.สีของปลาที่เลี้ยง
4.ลักษณะของปลาที่เลี้ยง
1. ลักษณะของตู้ปลา
ตู้ปลาลักษณะกลมมน สังกัดธาตุน้ำ ช่วยเสริมพลังของน้ำ ถือว่าเป็นมงคล แก่ชีวิต
ตู้ปลาลักษณะสี่เหลี่ยมยาวๆ สังกัดธาตุไม้ น้ำให้กำเนิดไม้ช่วยให้ไม้เจริญถือได้ว่าเป็นมงคล
ตู้ปลาลักษณะสี่เหลี่ยมลูกบาศก์จัตตุรัส สังกัดธาตุดิน ดินข่มน้ำ จึงไม่ควรใช้[การเลี้ยงปลาทอง]
ตู้ปลารูปหกเหลี่ยม เลขหกเป็นธาตุน้ำ แต่มีหลายเหลี่ยมถือว่าสังกัดธาตุไฟ จึงไม่ควรใช้เพื่อนำโชค
ตู้ปลารูปสามเหลี่ยมหรือแปดเหลี่ยม สังกัดธาตุไฟ จึงไม่ควรใช้
2. จำนวนปลาที่เลี้ยง
คนส่วนมากเข้าใจกันว่าการเลี้ยงปลาทองควรจะเลี้ยงเป็นเลขคี่จึงจะเป็นมงคลต่อชีวิต เช่น หนึ่ง,สาม,ห้า,เจ็ด,เก้า เป็นต้น ถ้าเป็นคู่จะไม่เป็นมงคล เช่น สอง,สี่,หก,แปด,สิบ เป็นต้น ในทางฮวงจุ้ยจะต้องนำจำนวนปลามาเทียบกับแผนภูมิลั่วซูหรือเหอถู จะช่วยให้ได้ผลที่แน่นอน.ตัวเลขจำนวนปลาทองเมื่อเทียบกับแผนภูมิลั่วซู
หนึ่งตัว เลขหนึ่งสีขาวดาวทันหลัง เป็นดาวมงคลช่วยนำโชค
สองตัว เลขสองสีดำดาวจวี้เหมิน เป็นดาวอัปมงคล ทำลายโชค
สามตัว เลขสามสีเขียวมรกตดาวลู่ฉุน เป็นดาวอัปมงคลทำลายโชค
สี่ตัว เลขสี่สีเขียวขี้ม้าดาวเหวินฉวี่ เป็นดาวมงคลช่วยนำโชค
ห้าตัว เลขห้าสีเหลืองดาวเหลียนเจิน เป็นดาวอัปมงคลทำลายโชค
หกตัว เลขหกสีขาวดาวอู๋ฉวี่ เป็นดาวมงคล ช่วยนำโชค
เจ็ดตัว เลขเจ็ดสีแดงดาวพ่อจวิน เป็นดาวอัปมงคล ทำลายโชค
แปดตัว เลขแปดสีขาวดาวจั๋วฝู่ เป็นดาวมงคล ช่วยนำโชค
เก้าตัว เลขเก้าสีครามดาวอิ้วปี้ เป็นดาวมงคล ช่วยนำโชค
ส่วนสิบตัวนั้นจะนับเป็นหนึ่งตัว สิบเอ็ดตัวจะนับเป็นสองตัว ไปเรื่อยๆตามหลักข้างต้น.
การเลี้ยงปลาทองเพื่อโชคลาภนี้เป็นแค่เพียงความเชื่อส่วนบุคคลเท่านั้น
ช่วงนี้ กำลังบ้าเรื่องฮวงจุ้ย ก็เลยเอามาฝากนักการเลี้ยงปลาทองครับ
หลักการเลี้ยงปลาทองตามฮวงจุ้ย
ในสมัยก่อนที่ประเทศจีนคนที่จะเลี้ยงปลาทองได้นั้นจะต้องเป็นเชื้อพระวงศ์,ขุน นาง,พ่อค้าหรือเศรษฐีเพราะปลาทองสมัยนั้นมีราคาแพงมากซึ่งคนธรรมดาไม่สามารถหาซื้อ มาเลี้ยงได้และการเลี้ยงปลาทองนั้นสามารถบ่งบอกถึงฐานะได้ว่าเป็นอย่างไร
ซึ่งเชื่อกันว่าถ้าบ้านเรือนใดเลี้ยงปลาทองอยู่ในบ้านจะเปรียบเสมือนมี ทองอยู่ในบ้านเลยทีเดียวและจะนำความร่มเย็น,โชคลาภ,อำนาจและบารมีมาให้แก่ผู้ที่การเลี้ยงปลาทอง
โดยดังจะกล่าวได้ว่าน้ำคือความร่มเย็นเป็นสุขและการไหลเวียนของน้ำคือการทำ ให้การค้าราบรื่นสุดท้ายคือปลาทองจะนำความมั่งคั่งมาสู่คนเลี้ยง สรุปได้ว่าผู้ใดการเลี้ยงปลาทองไว้ในบ้านจะนำความร่มเย็นเป็นสุขและทำมาค้าขายขึ้น เงินทองไหลมาเทมา อย่างไม่มีที่สิ้นสุด
ในที่นี้จะกล่าวถึงการเลี้ยงปลาทองเพื่อเสริมบารมีตามหลักฮวงจุ้ย ดังต่อไปนี้.
การเลี้ยงปลาทองเสริมบารมีจะมีปัจจัยอยู่ 4 ข้อ
1. ลักษณะของตู้ปลา
2.จำนวนปลาที่เลี้ยง
3.สีของปลาที่เลี้ยง
4.ลักษณะของปลาที่เลี้ยง
1. ลักษณะของตู้ปลา
ตู้ปลาลักษณะกลมมน สังกัดธาตุน้ำ ช่วยเสริมพลังของน้ำ ถือว่าเป็นมงคล แก่ชีวิต
ตู้ปลาลักษณะสี่เหลี่ยมยาวๆ สังกัดธาตุไม้ น้ำให้กำเนิดไม้ช่วยให้ไม้เจริญถือได้ว่าเป็นมงคล
ตู้ปลาลักษณะสี่เหลี่ยมลูกบาศก์จัตตุรัส สังกัดธาตุดิน ดินข่มน้ำ จึงไม่ควรใช้[การเลี้ยงปลาทอง]
ตู้ปลารูปหกเหลี่ยม เลขหกเป็นธาตุน้ำ แต่มีหลายเหลี่ยมถือว่าสังกัดธาตุไฟ จึงไม่ควรใช้เพื่อนำโชค
ตู้ปลารูปสามเหลี่ยมหรือแปดเหลี่ยม สังกัดธาตุไฟ จึงไม่ควรใช้
2. จำนวนปลาที่เลี้ยง
คนส่วนมากเข้าใจกันว่าการเลี้ยงปลาทองควรจะเลี้ยงเป็นเลขคี่จึงจะเป็นมงคลต่อชีวิต เช่น หนึ่ง,สาม,ห้า,เจ็ด,เก้า เป็นต้น ถ้าเป็นคู่จะไม่เป็นมงคล เช่น สอง,สี่,หก,แปด,สิบ เป็นต้น ในทางฮวงจุ้ยจะต้องนำจำนวนปลามาเทียบกับแผนภูมิลั่วซูหรือเหอถู จะช่วยให้ได้ผลที่แน่นอน.ตัวเลขจำนวนปลาทองเมื่อเทียบกับแผนภูมิลั่วซู
หนึ่งตัว เลขหนึ่งสีขาวดาวทันหลัง เป็นดาวมงคลช่วยนำโชค
สองตัว เลขสองสีดำดาวจวี้เหมิน เป็นดาวอัปมงคล ทำลายโชค
สามตัว เลขสามสีเขียวมรกตดาวลู่ฉุน เป็นดาวอัปมงคลทำลายโชค
สี่ตัว เลขสี่สีเขียวขี้ม้าดาวเหวินฉวี่ เป็นดาวมงคลช่วยนำโชค
ห้าตัว เลขห้าสีเหลืองดาวเหลียนเจิน เป็นดาวอัปมงคลทำลายโชค
หกตัว เลขหกสีขาวดาวอู๋ฉวี่ เป็นดาวมงคล ช่วยนำโชค
เจ็ดตัว เลขเจ็ดสีแดงดาวพ่อจวิน เป็นดาวอัปมงคล ทำลายโชค
แปดตัว เลขแปดสีขาวดาวจั๋วฝู่ เป็นดาวมงคล ช่วยนำโชค
เก้าตัว เลขเก้าสีครามดาวอิ้วปี้ เป็นดาวมงคล ช่วยนำโชค
ส่วนสิบตัวนั้นจะนับเป็นหนึ่งตัว สิบเอ็ดตัวจะนับเป็นสองตัว ไปเรื่อยๆตามหลักข้างต้น.
การเลี้ยงปลาทองเพื่อโชคลาภนี้เป็นแค่เพียงความเชื่อส่วนบุคคลเท่านั้น
การเลือกดูปลา ว่าปลาป่วยปลาไม่ป่วยดูยังไง สำหรับการเลี้ยงปลาทอง
ก่อนอื่น อันนี้กฏตายตัวใช้ได้สำหรับการเลี้ยงปลาทองทุกร้าน
1. ร้านไหนมีตู้ปลาป่วยและตายคาตู้ ควรเลี่ยงเลยนะครับ ไม่ควรซื้อ เพราะ ถ้าปลาเป็นโรคป่วยหรือตายคาตู้ ปลาในตู้ก็น่าจะติดเชื้อหรือเป็นโรคกันทั้งหมดตู้ ถ้า เราซื้อมา ขึ้นอยู่ว่าปลาจะมีอาการป่วยหรือตาย ช้าหรือเร็ว ขึ้นอยู่กับเวลาออกอาการของโรคที่มากับปลาครับ การเลี้ยงปลาเบื้องต้น
2. หาร้านที่ปลามีการแยกที่อยู่เป็น สัดส่วนนะครับ เพราะว่าเราไม่รู้ได้ว่า ร้านขายไปเอาปลามาจากไหนกันบ้าง ถ้าแยกเป็นสัดส่วน เราจะได้หาสาเหตุถูก ว่าปลาป่วยเป็นอะไรหรือป่าว เราจะได้ไม่ต้องไปพลิกตำรา เสียเวลามารักษาปลา และจะได้ไม่ต้องมาเสี่ยงเรื่องปลาตายและเสียดายเงินด้วยครับ
เอาล่ะ เวลาระทึกใจมาถึงแล้ววววว
กฏต่อไปนี้ ใช้ได้กับร้านที่เค้าจับปลาให้เราดู (ห้ามจับปลาเองโดยเด็ดขาด)
1. กรณี ที่เป็นลูกแบล็ค (ปลายังไม่ลอกไซร์ ไม่เกิน 1 1/2 นิ้ว) ให้ดูการว่ายน้ำถ้าอยากรู้ว่าป่วยไม่ป่วยเอาเลยครับ เคาะกาละะมัง หรือภาชนะที่เขาใส่มาให้เราดู เคาะเบาๆเอาพอปลาตกใจเท่านั้นนะครับ ดูสมดุลการว่าย มีปายซ้ายชวาหรือป่าว มีพุ่งขึ้นขอบภาชนะไหม แล้วดูเลยปลาหายตกใจ...ว่าปลายืนน้ำแบบไหน
2. ดูที่แผ่นปิดเหงือก ถ้าแผ่นปิดเหงือก เปิด อ้าอ้า ก็อย่าไปเอาเลยครับ ไม่เกิน 3 วัน ไปแน่ๆครับ ลงท่อ
3. ดูรอยขีด ข่วน รอบๆตัวปลา จะได้เรียกประกันมาเคลมถูก เอ้ย ไม่ใช่ จะได้ไม่เอา เพราะโอกาสติดเชื้อตามมามีสูง.....ถึงคนขายจะว่า 2-3 วันก็ขึ้นใหม่ก็เถอะนะ
4. สังเกตดูที่ของเสีย ที่ปลาถ่ายออกมา สิ่งนี้จะฟ้องว่าปลา ป่วย ไม่ป่วย เกิน 70% ถ้าปลาไม่ป่วย สุขภาพดี พอสมควร ขี้ปลาจะเป็นสีดำสาย ยาวๆ ถ้าปลาป่วย จะเป็นเมือก ใสๆ (อันนี้สังเกตไปพักใหญ่ๆเลยกว่าจะได้ ทริคนี้มา)
5. อันนี้ถ้าสายตาของเพื่อนๆดีล่ะก็ ลองกันครับ ดูที่รอยต่อเกล็ด ถ้าเป็นปลายังไม่ลอกจะจัดหน่อย มันจะมีจ้ำแดงโผล่ออกมา เหมือนอาการเริ่มแรกของตกเลือดแต่มันหนักกว่านั้น เพราะ ที่เจอมากะตัวเลย เป็น 4 ตัว ตายเรียบ.....ก็ไม่เชื่อก็ให้ประสบการณ์ + เงินของเพื่อนลองดูครับ ... รับประกัน ไม่ตายก็กว่าจะหายป่วยก็เครียดล่ะครับงานนี้
ข้อสำคัญ สำหรับการไปเลือกปลาที่ร้านหรือ ที่ฟาร์ม นะครับ
อย่า เอามือของเพื่อนๆไปจับปลาในร้านหรือฟาร์มนะครับควรบอกเจ้าของร้านหรือคนขาย มาตักให้ดู เพราะมือของท่านอาจจะมีเชื้อโรค อาจทำให้ปลาที่ร้านหรือที่ฟาร์มป่วยได้ นอกจากท่านได้ล้างมือและคนขายต้องอนุญาตให้ตักหรือจับได้ครับ
โชคดีมีปลาสวยครอบครองกันเยอะๆๆ ไปแล้วครับ ขอบคุณมากครับ ข้อมูลจาก หมูสาย2 การเลี้ยงปลาเบื้องต้นก็มีแค่นี้แหละครับไม่มีอะไรยุ่งยากเลยยังไหงก็ลองเลี้ยงเอาไว้เป็นเพื่อนคลายเหงานะครับ
ก่อนอื่น อันนี้กฏตายตัวใช้ได้สำหรับการเลี้ยงปลาทองทุกร้าน
1. ร้านไหนมีตู้ปลาป่วยและตายคาตู้ ควรเลี่ยงเลยนะครับ ไม่ควรซื้อ เพราะ ถ้าปลาเป็นโรคป่วยหรือตายคาตู้ ปลาในตู้ก็น่าจะติดเชื้อหรือเป็นโรคกันทั้งหมดตู้ ถ้า เราซื้อมา ขึ้นอยู่ว่าปลาจะมีอาการป่วยหรือตาย ช้าหรือเร็ว ขึ้นอยู่กับเวลาออกอาการของโรคที่มากับปลาครับ การเลี้ยงปลาเบื้องต้น
2. หาร้านที่ปลามีการแยกที่อยู่เป็น สัดส่วนนะครับ เพราะว่าเราไม่รู้ได้ว่า ร้านขายไปเอาปลามาจากไหนกันบ้าง ถ้าแยกเป็นสัดส่วน เราจะได้หาสาเหตุถูก ว่าปลาป่วยเป็นอะไรหรือป่าว เราจะได้ไม่ต้องไปพลิกตำรา เสียเวลามารักษาปลา และจะได้ไม่ต้องมาเสี่ยงเรื่องปลาตายและเสียดายเงินด้วยครับ
เอาล่ะ เวลาระทึกใจมาถึงแล้ววววว
กฏต่อไปนี้ ใช้ได้กับร้านที่เค้าจับปลาให้เราดู (ห้ามจับปลาเองโดยเด็ดขาด)
1. กรณี ที่เป็นลูกแบล็ค (ปลายังไม่ลอกไซร์ ไม่เกิน 1 1/2 นิ้ว) ให้ดูการว่ายน้ำถ้าอยากรู้ว่าป่วยไม่ป่วยเอาเลยครับ เคาะกาละะมัง หรือภาชนะที่เขาใส่มาให้เราดู เคาะเบาๆเอาพอปลาตกใจเท่านั้นนะครับ ดูสมดุลการว่าย มีปายซ้ายชวาหรือป่าว มีพุ่งขึ้นขอบภาชนะไหม แล้วดูเลยปลาหายตกใจ...ว่าปลายืนน้ำแบบไหน
2. ดูที่แผ่นปิดเหงือก ถ้าแผ่นปิดเหงือก เปิด อ้าอ้า ก็อย่าไปเอาเลยครับ ไม่เกิน 3 วัน ไปแน่ๆครับ ลงท่อ
3. ดูรอยขีด ข่วน รอบๆตัวปลา จะได้เรียกประกันมาเคลมถูก เอ้ย ไม่ใช่ จะได้ไม่เอา เพราะโอกาสติดเชื้อตามมามีสูง.....ถึงคนขายจะว่า 2-3 วันก็ขึ้นใหม่ก็เถอะนะ
4. สังเกตดูที่ของเสีย ที่ปลาถ่ายออกมา สิ่งนี้จะฟ้องว่าปลา ป่วย ไม่ป่วย เกิน 70% ถ้าปลาไม่ป่วย สุขภาพดี พอสมควร ขี้ปลาจะเป็นสีดำสาย ยาวๆ ถ้าปลาป่วย จะเป็นเมือก ใสๆ (อันนี้สังเกตไปพักใหญ่ๆเลยกว่าจะได้ ทริคนี้มา)
5. อันนี้ถ้าสายตาของเพื่อนๆดีล่ะก็ ลองกันครับ ดูที่รอยต่อเกล็ด ถ้าเป็นปลายังไม่ลอกจะจัดหน่อย มันจะมีจ้ำแดงโผล่ออกมา เหมือนอาการเริ่มแรกของตกเลือดแต่มันหนักกว่านั้น เพราะ ที่เจอมากะตัวเลย เป็น 4 ตัว ตายเรียบ.....ก็ไม่เชื่อก็ให้ประสบการณ์ + เงินของเพื่อนลองดูครับ ... รับประกัน ไม่ตายก็กว่าจะหายป่วยก็เครียดล่ะครับงานนี้
ข้อสำคัญ สำหรับการไปเลือกปลาที่ร้านหรือ ที่ฟาร์ม นะครับ
อย่า เอามือของเพื่อนๆไปจับปลาในร้านหรือฟาร์มนะครับควรบอกเจ้าของร้านหรือคนขาย มาตักให้ดู เพราะมือของท่านอาจจะมีเชื้อโรค อาจทำให้ปลาที่ร้านหรือที่ฟาร์มป่วยได้ นอกจากท่านได้ล้างมือและคนขายต้องอนุญาตให้ตักหรือจับได้ครับ
โชคดีมีปลาสวยครอบครองกันเยอะๆๆ ไปแล้วครับ ขอบคุณมากครับ ข้อมูลจาก หมูสาย2 การเลี้ยงปลาเบื้องต้นก็มีแค่นี้แหละครับไม่มีอะไรยุ่งยากเลยยังไหงก็ลองเลี้ยงเอาไว้เป็นเพื่อนคลายเหงานะครับ
เรื่องการขึ้นน้ำใหม่ กับปลาใหม่ที่เพิ่งซื้อมาเลี้ยง-การเลี้ยงปลาทอง1
เขียนโดย jukkapong sangsood ที่ 18:25ทำไมปลาทองตัวที่ซื้อมาถึงตายเร็วจัง -เอาหล่ะครับก่อนอื่น
1.การเตรียมน้ำในภาชนะ(อ่าง,ตู้)ก่อนที่จะเลี้ยงปลา
น้ำประปาที่เพื่อนๆจะเอามาใช้ ต้องเป็นน้ำที่ผ่านการพักน้ำประมาณ 2-3 วัน เพื่อให้คลอรีนสลายก่อน หรือผ่านการกรองคลอรีนเพื่อสลายคลอรีนมาแล้ว ทำไมต้องน้ำประปา (น้ำประปาดีที่สุดเพราะผ่านการฆ่าเชื้อจากคลอรีนมาแล้ว)
2.การปรับอุณหภูมิน้ำและค่าPHของน้ำในถุงปลาที่ซื้อมาจากร้าน กับน้ำที่เตรียมไว้ในภาชนะ(อ่าง,ตู้)ที่บ้าน
เอาถุงปลาที่ซื้อมา มาล้างถุงและก้นถุงให้สะอาดด้วยน้ำเปล่าก่อน จากนั้นให้แช่ถุงปลา ลงไปในอ่างหรือตู้ที่เตรียมไว้เลี้ยงปลาทั้งถุง ทิ้งไว้ประมาณ 20 นาที(ถ้าเป็นหน้าหนาว ให้นานกว่านี้หน่อยเพื่อให้อุณหภูมิของน้ำในถุงปลากับอุณหภูมิของน้ำในอ่างหรือตู้เท่ากัน) เมื่อปลาปรับสภาพได้ แล้วก็ให้เปิดปากถุง และลอยถุงปลาต่อไปอีกประมาณ 20 นาที และให้ใส่อ๊อกฯในถุงปลาที่ลอยด้วย หลังจากนั้นตักน้ำในอ่างหรือตู้ ที่ลอยถุงปลาอยู่ใส่ลงไปในถุงปลาทีละน้อย ให้ปลาปรับสภาพกับน้ำใหม่ที่เตรียมไว้ แล้วก็ จากนั้นค่อยๆเอียงถุงปลา ปล่อยปลาลงน้ำ ที่เตรียมไว้ หรือให้ใช้มือจับเฉพาะตัวปลาลงไปในอ่าง(ในกรณีที่ซื้อปลามาจากที่ไกลๆเหตุที่ไม่เทน้ำในถุงลงไปในอ่างด้วยเพราะน้ำในถุงมีเมือกปลาที่ขับเมือกในขณะเดินทาง การจับปลาในถุงลงในอ่างปลาควรล้างมือให้สะอาดก่อน และแช่มือลงในอ่างซักครู่พอให้มือมีอุณหภูมิใกล้เคียงกัน ก่อนจะจับปลาในถุงลงมาในอ่างนะครับ) จากนั้นแล้ว ก็ใส่เกลือลงไปสักหน่อย ให้ปลาสดชื่น และช่วยลดความเครียดให้ปลา โดยใส่เกลือ 0.3 กรัมต่อน้ำ 1 ลิตร (ถ้าหน้าหนาวอาจจะปรับเปลี่ยนวิธีได้นะครับ)
แล้วก็ ที่สำคัญควรอดอาหารปลาประมาณ 3 วัน ห้ามให้อาหารเด็ดขาด.......สำคัญมากครับเรื่องนี้(การอดอาหารเพื่อให้ปลาได้พักผ่อนจากการเดินทางไกล จากการปรับสภาพกับน้ำ,สถานที่ใหม่ ให้ปลาแข็งแรง แล้วค่อยให้อาหาร) และ การซื้อปลามาใหม่ไม่ควรนำปลาที่ซื้อมาใหม่ไปเลี้ยงรวมกับปลาเก่าทันที.......ห้ามโดยเด็ดขาด ควรเลี้ยงกักไว้ในอ่างใหม่เพื่อป้องกันการตาย(ป้องกันการติดเชื้อโรคจากปลาใหม่ด้วย) ให้สังเกตดูปลาที่ซื้อมาใหม่ที่กักไว้ด้วยว่า มีอาการผิดปกติ มีอาการปลาซึมๆ มีรอยแดง มีสิ่งแปลกปลอมเกาะติดมากับปลาด้วยหรือป่าว หรือเป็นโรคอะไรหรือป่าว ถ้ามีให้รักษาตามอาการให้หาย และให้ปลาแข็งแรงก่อน ถึงควรจะให้อาหารและนำปลาใหม่ไปรวมกับปลาเก่าได้
ขอให้ประสบความเร็จ มีปลาสวยไว้ในครอบครอง
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น